วันนี้มะโหน่งเข้าออฟฟิศแต่เช้า เล่าให้ฟังว่าเพิ่งไปงานชุมนุมนักเขียนมา เจอใครต่อใครมากมาย “มีคนมาถามถึงพี่กับผมเยอะเลย”
เฮ้ย! คนหลังภูเขาอย่างพี่ มีอะไรให้ถามกะเขานะ “มีคนหนึ่งว่ะพี่ เขาบอกว่าเพิ่งไปกินเหล้ากะพี่มา พี่คอแข็งมาก กินเหล้าถึงตีสี่ตีห้า”
เฮ้ยๆๆๆๆ ชักยังไงเฟร้ย!
ซักไปซักมา กลายเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่ในวงการหนังสือบางคน ที่เคยแวะเวียนมาเจอกันแถววงประชาชื่นในคืนวันศุกร์นั่นเอง ที่ฝากคำทักทายน่ากลัว (โคตร) มากับน้องนุ่งของเรา
โธ่! ฟังแล้วต๊กใจ!
ร้ายจริงคนเรา ทักเสียอย่างนี้ แต่ไม่ยอมเล่าต่อนะ ว่าที่พวกเราต้องเช้ากันน่ะ มันเป็นเพราะฝีมือใครกันแน่-ฮึ่มๆ
แก้ข่าวหน่อยนะค้า! ไปวงนั้นกินแต่เบียร์ค่ะ เหล้าไม่ค่อยไหว เพราะเหล้าทีไร ตื่นมาแล้วมันจะตายเสียให้ได้ หลังๆ มานี้เหล้าของเราหมายถึงค็อกเทล ผสมนั่นนี่ให้วุ่นวายเล่น เวลาไปวงนี้ จะมีเบียร์แก้วสองแก้ว ขวดสองขวดแจมกันกับพี่ผู้หญิงอีกคน แต่บางศุกร์ ถ้าขาเมาธ์เมามันส์ หลังตีสองอาจจะมีเลิกนับกันบ้าง แต่พยายามไม่หักโหม เพราะไม่อยากเบื่อตัวเองในวันต่อมา เบียร์บ้าง น้ำเปล่าบ้าง กาแฟที่เซเว่นบ้าง เราก็นั่งคุยกะเขาได้เรื่อยๆ ถึงเช้า
วงนี้เมามากไม่ได้
เพราะเดี๋ยวโดนกองทัพคำคมถล่มแล้วสมองจะแล่นช้า
จะเอาคืนไม่ทัน
ต้องรอไปอีกเจ็ดวันจึงจะแก้ตัวได้ :)
หลังๆ มานี่ พวกเราเมาธ์กันเมามันจนไม่มีใครยอมเลิกรา อาจเป็นเพราะแอบสังเกตว่าคนที่กลับก่อนเสมอ มักจะเป็นผู้อาวุโสทั้งสิ้น
พวกเราในวงประชาชื่นมีกันหลายสิบชีวิต สลับสับเปลี่ยนเวียนกันมาครั้งละประมาณสิบ เกือบทุกคนล้วนแล้วแต่ทำงาน หรือ "เคย" คลุกคลีในวงการหนังสือ อย่างคุณพี่ทนาย นอกจากจะเป็นเพื่อนประถมมัธยมมหา'ลัย กับพี่บรรณาธิการใหญ่ของเราแล้ว ยังเคยเป็นบรรณาธิการหนังสือเอียงซ้ายสมัยเรียนอีกต่างหาก
พี่ใหญ่ที่สุดในวงเราอายุเข้าหลักหกสองสามคน หลักห้า สี่ สาม สอง ตามมา ส่วนมากจะหลักสามต้น กลาง ปลาย เวลาฉันพาเพื่อนหน้าใหม่ๆ ไปร่วมวงบ้าง เพื่อนพ้องน้องพี่ จะมีอาการดี๊ด๊า สัปดาห์ต่อมาถ้าไม่เจอหน้าอีก ก็จะถามถึงกันระงม แบบว่าวงเราขาดแคลนคนหน้าใหม่อย่างรุนแรงน่ะค่ะ ไม่ใช่อะไร
มีใครแถวนี้สนใจ
ลองสมัครได้นะคะ
ถ้าไม่กลัวพวกเรา
haha
ฉันมีโอกาสเห็นนักเขียนชั้นครูนั่งเขียนต้นฉบับในวงเหล้าเพื่อส่งแฟกซ์ไปลงหนังสือพิมพ์กรอบเช้าวันรุ่งขึ้นก็จากวงนี้ บางทีก็มีโอกาสช่วยอ่าน ช่วยตรวจคำบ้าง ฟังผู้อาวุโสเหล่านี้คุยกันมันส์สุดๆ เพราะหลายอย่างที่พวกเขาพูดกันในวงเหล้านั้น บ่อยครั้งที่กลายเป็นข่าวพาดหัวตัวไม้ในภายหลัง สนุกกว่าดูรายการเล่าข่าวทางโทรทัศน์เป็นไหนๆ
วงเล็บ ไม่อยากจะเชื่อเนอะ ว่าเราจะเกิดมาทันยุคที่มีคนมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ให้ฟังทางโทรทัศน์ เมื่อก่อนรายการแบบนี้มีแค่ในวิทยุเอเอ็มเท่านั้น แล้วตอนนี้ ดูสิ เล่าข่าวบางรายการ กำไรปีละสามสี่ร้อยล้าน ไม่กำไรได้ไง ในเมื่อวิธีทำงานไปวันๆ ก็แค่ซื้อหนังสือพิมพ์เล่มละแปดบาทไปนั่งอ่านปาวๆ แค่นี้ก็เรียกว่าทำรายการโทรทัศน์กะเขาได้แล้วเน้อ!
ชักไปไกล กลับมาวงประชื่นของเราดีกว่า
ล่าสุดที่เรานั่งคุยกันถึงเช้า ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจตุคามฯ ฮากระจาย
ฉันจำได้ว่าวันนั้นหัวเราะตั้งแต่หัวค่ำจรดเช้า แทบจะไม่มีเวลาพักหายใจ วันรุ่งขึ้น นอนทั้งวันทั้งคืนฟื้นมาบ่ายวันอาทิตย์ นึกถอยหลัง ยังเผลอนั่งหัวเราะอยู่คนเดียว
อ้อ!ใครว่าเมาแล้วจำไม่ได้
ฉันไม่ค่อยเชื่อแฮะ เพราะฉันไม่เคยลืมเลย
ไม่ว่าเมาแค่ไหนก็ตาม
บางครั้งเรามีเพื่อนๆ พี่ๆ นักเขียน เจ้าของหนังสือดีๆ มากมาย(ที่เราไม่ค่อยจะได้อ่านกันเท่าไหร่ แต่รู้ว่าหนังสือดี จนมีคนให้รางวัลได้ล่ะน่า)แวะมาแจมบ้างเป็นครั้งคราว
ล่าสุดดูเหมือนจะเป็นแก๊งจตุคามฯของนักเขียนที่ได้รับรางวัลชมเชยจากงานสัปดาห์หนังสือ (ที่พวกเราแกล้งเรียกกันว่า รางวัล “ชมว่าเชย” )ฉันมีโอกาสได้จับต้องจตุคามฯ กับเขาเป็นครั้งแรก เป็นจตุคามฯ ของคุณประชาคม ลุนาชัย ที่เอามาอวดพวกเราในวง เพราะพี่เขาเพิ่งได้จตุคามฯเป็นรางวัลมาจากผู้ใหญ่ โทษฐานที่เขียนหนังสือดีจนได้รางวัลมาประดับสำนักพิมพ์อยู่ทุกปี
ฉันไม่ค่อยสนใจจตุคามฯ
แต่รู้สึกว่าการให้ของขวัญกันด้วย "พระ" เนี่ย
มันน่ารักดีนะ
วงเล็บที่สอง หนังสือของคุณประชาคม อ่านหลายเล่มแล้วนะคะ ตอนแข่งซีไรต์ ยังเชียร์ "เขียนฝันด้วยชีวิต" อย่างสุดจิตสุดใจ ใครอยากเขียนหนังสือ ให้อ่านเล่มนี้เลย คุณจะรักและภูมิใจในวิชาชีพเขียนหนังสือขึ้นอีกจม
แล้วคุณจะรู้ว่า คนบางคนพิถีพิถัน ตั้งอกตั้งใจกับงานของตัวเองอย่างเหลือเชื่อ งานเขียนบางชิ้นมันมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีเลือดเนื้อ มีอะไรๆ อยู่ในนั้นมากมาย-ต้องอ่านค่ะ
พูดถึงจตุคามฯ มะโหน่งเลยบอกว่า งานชุมนุมนักเขียนที่เขาเพิ่งไปงานมา ก็มีนักเขียนหนุ่มคนหนึ่งห้อยจตุคามฯอันเบ้อเริ่มเข้ามาในงานด้วยนะ “ทุกคนฮือฮากันมาก แต่พอเข้าไปดูใกล้ๆ ปรากฏว่าเป็นขนมโอรีโอ ที่ไปอัดใส่กรอบเลี่ยมขอบมาอย่างดี เวลานั่งอยู่ในงาน มืดๆ เขาก็แอบเอาจตุคามฯขึ้นมากินด้วยนะพี่”
ฉันฟังมะโหน่งแล้วขำก๊าก
ช่างคิดดีจริง
เออนะ จตุคามฯรุ่นโอรีโอ
มีกูไว้แล้วไม่หิว :)
แม้จะผิดศีลห้ากันบ้างบางข้อ โดยเฉพาะในวันศุกร์ แต่นานนับปีที่ได้สัมผัสคลุกคลี ฉันก็รู้สึกว่าหลายคนในวงการหนังสือเหล่านี้มีหลายอย่างน่ารัก หนึ่งปี สองปี ห้าปี สิบกว่าปี ที่รู้จักกันมา มีน้อยมากที่จะทำให้รู้สึกไม่ดี ซึ่งคนส่วนน้อยเหล่านี้ เราก็ตัดออกจากสารบบชีวิตของเราไปแล้วโดยอัตโนมัติ
เราคบกัน คุยกัน กินดื่มด้วยกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่อกันบ้าง ช่วยเหลือกันบ้างบางที ตามความรู้ความสามารถ ตามกำลังที่มี เท่าที่รู้เท่าที่เห็น หลายสิบชีวิตในวงการนักเขียนที่ฉันคลุกคลี ล้วนแล้วแต่มีน้ำใจ อย่างน้อยพวกเขาก็มีให้ฉันสม่ำเสมอ ฉันได้รับ ฉันยืนยัน และฉันซาบซึ้งตลอดมา
ไม่ได้พูดให้สวย
แต่มันเป็นเรื่องจริง
พิสูจน์ได้ด้วยชีวิตตัวเอง
บางคนคบหากันมา ตั้งแต่ฉันยังไม่มีหนังสือของตัวเองสักเล่ม ตั้งแต่ยังไม่มีใครรู้จักชื่อ’ปราย พันแสง หลายปีผ่านไป จนพอจะมีชื่ออยู่บนปกหนังสือกับเขาบ้างในวันนี้ พวกเขาก็ยังมีน้ำใจกับฉันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เป็นกลุ่มคนที่ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเรา
นอกจากชอบโทรตามตอนสิบโมงเช้า
ให้มาร่วมวงกันเร็วๆ หน่อยเท่านั้นล่ะ :)
แม้แต่หนังสือฟรีสักเล่ม เสื้อยืดฟรีสักตัว พวกเขาเหล่านี้ก็ไม่เคยเอ่ยขอแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากเราจะเต็มใจเอาไปให้เอง บางทีเอาไปให้อ่าน เขายังบอกว่าเก็บไว้ขายเถอะ ไม่ต้องเอามาให้ เดี๋ยวไปซื้อเองจากแผงดีกว่า จะได้ช่วยเพิ่มยอดขาย
นี่คือมิตรจิตมิตรใจ ในกลุ่มคนที่ไม่ต้องมีของขวัญวันเกิดให้กัน ของขวัญปีใหม่ก็ไม่ค่อยให้ เพราะมีอะไร เราก็หยิบเอามาแบ่งปันกันในวงอยู่เรื่อยๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีวาระ
อย่างล่าสุดพี่บรรณาธิการฯ ของเรา อุตส่าห์เด็ดมังคุดกรอบที่บ้านเอามายำให้พวกเรากินที่วงอย่างตั้งใจ โดยเตรียมมีด เตรียมเครื่องปรุงมาทำให้ชิมพร้อมสรรพ ชิมไปซึ้งไปจนหมดจานไม่รู้ตัว
มันน่ารักจริงๆ ค่ะ
แล้วก็อร่อยมากด้วย :)
บางทีเป็นคนที่ไม่เจอเลยสองเดือน หรือสองปี ห้าหกปี ห่างหาย ก็เป็นคนที่ไม่เคย"คิดทราม" หรือคอยนินทาว่าร้ายเราลับหลัง
บางทีมีคนว่าเราให้ได้ยินบ้าง เขาก็จะถามความจริงจากปากเรา พอให้เรามีโอกาสอธิบาย
หากเป็นสิ่งที่พวกเขาพอเข้าใจได้ เวลามีใครว่าร้าย ยังคอยเป็นลมใต้ปีกขนาดใหญ่ ที่คอยช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดให้เราด้วยบ่อยครั้ง นั่นคือสิ่งที่ประทับใจ
หรือหากเขาจะเคยว่าร้ายในแบบที่ฉันไม่รู้ อย่างน้อยวิธีร้ายของเขาก็ดูดีมีคลาส ไม่มั่วนิ่มโชว์อีโก้อุจาดประเจิดประเจ้อเร่อร่า จนเราต้องจับได้คาหนังคาเขาให้เสียเซลฟ์ล่ะน่า :)
แต่เท่าที่รู้จักกันมา มีอะไรไม่ค่อยดีบ้าง เขาก็จะถาม จะเตือนเราเองซึ่งๆหน้า ไม่เคยเอาเราไปว่ากับคนอื่นทีหลัง แต่เรื่องพวกนี้ไม่ค่อยมีหรอก นอกจากแกล้งหลอกด่า หลอกแซวกันเล่นเอามันส์กันเองในวงเราเท่านั้น
ในวงกินดื่ม เราเฉ่งกันเองบ้างบางครั้ง แต่ก็ถกเถียงกันเพื่อปัญญาขยับขยายมากกว่าจะฆ่ากันให้ตาย ฉันชอบเถียงมากค่ะ หาเรื่องเถียงได้ทุกเรื่อง ไม่เชื่อลองได้ haha ที่วงประชาชื่นเขารู้ดี จึงมีการจัดคู่ชกด้วยการจัดที่นั่งให้บ้างบางที
กับพี่ทนายความทั้งสองคนในวงเนี่ยแหละ คู่ปรับฉัน บางทีเถียงกันแรงบ้างฉันก็แค่ย้ายที่นั่ง ไปนั่งห่างๆ ไกลๆ วันหลังเจอกันเริ่มเรื่องใหม่ ก็นั่งใกล้กันได้อีกที เจอกันเมื่อไหร่ก็ต่อติดเหมือนเดิม
เราไม่เคยต้องนึกเรื่องมาคุยกัน
เพราะเรื่องราวทั้งหลายนั้น
มันหลั่งไหลออกมาเอง จนคุยกันได้ไม่รู้จบ
ความเข้าอกเข้าใจในอาชีพ จากผู้คนที่เรารักและนับถือ ในแวดวงการงานที่เรารัก มันคือสิ่งที่หล่อหลอมให้เรายืนหยัด เป็นตัวตนขึ้นมาได้ในทุกวันนี้ พวกเขาเหล่านี้คือสังคมที่แท้จริงของฉัน ในชีวิตจริงของฉัน และในทุกๆ วัน เราก็เป็นหนี้สังคมที่เราอยู่เสมอ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่
ฉันได้รับสิ่งที่ดีมากมายในชีวิตเพราะวงการนี้ ฉันชอบที่คุณประภาส ชลศรานนท์เคยเขียนว่า การที่เราลุกให้เด็กนั่งบนรถเมล์ เด็กคนนั้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เขาอาจจะลุกให้คนอื่นนั่งอีกมากมาย นั่นคือการเพาะหว่านเมล็ดพันธุ์ที่ดีลงในสังคมที่เราอยู่
ฉันคิดว่าวงการหนังสือเราก็เหมือนกัน เราอยากให้มันดี เราก็ต้องช่วยกันเพาะหว่านเมล็ดพันธุ์ที่ดี เราจึงจะมีสังคมในแบบที่เราต้องการได้ เรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง เราทำได้ทุกคน
ฉันชอบเข้าไปอ่านบล็อกของใครต่อใคร เพราะสังคมออนไลน์ มันก็คือ "สังคมตัวหนังสือ" อีกแบบหนึ่งที่ใกล้ชิด และมีอิทธิพลกับชีวิตคนเรามากขึ้นทุกที
เพื่อนพ้องน้องพี่บางคนที่เราดีต่อกัน วันๆ ของชีวิตก็ต่างคนต่างอยู่ นานๆ จึงจะได้มีโอกาสมาเจอหน้ากันที พอมีบล็อก มีเว็บไดอารี่ของแต่ละคน เราก็สามารถเข้าไปอัพเดทข่าวสารกันและกันได้ง่ายและสะดวก ดีกว่าการใช้โทรศัพท์ตั้งมากมาย ทำให้รู้สึกว่าชีวิตของเราแต่ละคนไม่ได้ห่างไกลกัน ฉันว่าสังคมออนไลน์นั้น นับวันมันจะยิ่งดีและยิ่งมีประโยชน์ต่อความสัมพันธ์ของมนุษย์เรามาก
และทุกครั้งที่เข้าไปอ่านอะไรเหล่านี้ ฉันก็พยายาม “จ่าย” ค่าตอบแทนการอ่าน ด้วยการเขียนความเห็นของฉัน เกี่ยวกับสิ่งที่ฉันได้อ่าน ทิ้งร่องรอยเอาไว้เสมอ เพราะคิดว่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราทำได้โดยไม่เหลือบ่ากว่าแรงนักเช่นนี้ อาจจะทำให้ฉันได้อ่านงานเขียนดีๆ จากใครคนนั้นอีกมากมาย
อย่างน้อยที่สุด
คนเขียนก็จะได้มีกำลังใจ
เพราะฉันเองก็อยากได้สิ่งนั้นเหมือนกัน
บางที เวลาอ่านเจออะไรที่ดีมากๆ ฉันยังนึกอยากให้หน้าจอคอมพิวเตอร์มีที่หยอดเหรียญด้วยซ้ำ จะได้หยอดเงินให้ เรื่องละบาท สิบบาท ยี่สิบบาท หรือร้อยบาทก็ยังดี
บางบล็อก บางเว็บไดอารี่ เป็นนักเขียนสมัครเล่นก็จริง แต่ฝีมือน่ะ พวกเขียนหากินเป็นอาชีพอาจต้องชิดซ้าย เพราะหลายคนที่เขียนให้อ่านฟรีออนไลน์นั้น เขียนดีกว่าหนังสือแพงๆ ที่เราซื้อมาจากร้านตั้งเยอะ
อ่านแล้วอยากจ่ายค่าตอบแทนให้ เพราะสิ่งดีๆ ที่เราได้รับจากการอ่านผลงานของเขานั้นมีมากมาย จนรู้สึกว่าแค่เขียนคำฝากเอาไว้ให้คงไม่พอ
ฉันยังแปลกใจ ในบางเว็บ บางที่ มีคนเข้าไปอ่านอะไรฟรีๆ ตั้งมากมาย แต่ไม่ยอมเขียน ไม่ยอม "จ่าย" อะไรเลย เพราะนึกเอาว่ามันเป็นของฟรี ความนึกคิดแบบนี้แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของความเห็นแก่ตัวทั้งหลาย
คุณแอบหรือคุณเงาเหล่านี้ไม่สร้างสรรค์สิ่งใด ไร้ตัวตน บางทีอาจจะสนแค่หวังฟันกำไรจากทุกเรื่องของชีวิตโดยไม่ยอมจ่ายสิ่งใด มันคงไม่ใช่วิธีดำเนินชีวิตที่สง่างามเท่าใดนักหรอกนะ
อันที่จริง การทำอะไรอย่างนี้มันต้องจ่ายแพงมาก
เพราะสิ่งที่เราจ่ายไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
นั่นคือ "เกียรติ" ของเราเอง
คุณแอบ คุณเงา ไม่มีเกียรติให้ตัวเอง
และไม่ให้เกียรติใคร
จะบอกว่าไม่มีเวลายิ่งไม่ใช่เหตุผลใหญ่ กว่าที่คนเราจะเขียนอะไรออกมาให้คนอื่นอ่านได้ มันต้องใช้พลังงานตั้งมากหลาย อ่านอย่างเดียวสบายๆ ทิ้งรอยไว้สักคำสองคำมันหนักหนาสักแค่ไหน
และที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจ บางคนก็ชอบเขียนเหมือนกัน เขียนอะไรออกมาตั้งเยอะแยะ แต่เวลาออนไลน์เข้าไปอ่านของใคร ก็ไม่เคยเขียนอะไรทิ้งไว้ให้คนอื่นเลยซะงั้น คนเขียนเยอะบางคนไม่ชอบและไม่เคยอ่านงานเขียนของคนอื่นเลยด้วยซ้ำ แต่ยังอยากให้คนอื่นมารุมอ่านของตัวเองวันยังค่ำ
แหม..ช่างกล้าหวังเข้าไปได้นะนั่น:)
มีช่วงหนึ่ง เวลาฉันเจอใครๆ คนเหล่านั้นมักจะบอกฉันอยู่เรื่อยว่าเขากำลังทำหนัง เขียนบทบ้าง กำกับบ้าง ทำโน่นทำนี่ ทำหนังไทยกันจัง จนฉันหลงละเมอคิดไปเองว่าวงการหนังไทยมันคงก้าวไกลไปอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ช่วงนั้นไปไหนก็เจอแต่คนทำหนัง สักครึ่งประเทศได้มั้ง แต่ปรากฏว่า เวลาหนังไทยเข้าฉายที ทำไมมันไม่มีคนดูเอาเสียเลย แล้วพวกที่บอกว่าทำหนัง ทำหนังนั่น เขาทำกันอย่างเดียว โดยไม่ยอมตีตั๋วดูหนังของกันและกันเลยหรือไง
และที่ร้ายกว่านั้นคือ เวลาเจอคนทำหนังบางคน ถามว่าดูหนังไทยเรื่องนั้นเรื่องนี้หรือยัง ไม่ว่าจะถามเรื่องไหน ก็มักจะได้คำตอบว่ายังไม่ได้ดู ..เจอบ่อยเข้าจนฉันชักเอะใจ เฮ้ย! นี่มันอะไร! คนทำด้วยกันยังไม่ยอมดู แล้วยังกล้าหวังว่าจะมีชาวบ้านชาวช่องตีตั๋วดูหนังคุณจนโรงแตกอย่างนั้นใช่ไหม ...น่ะนะคนเรา
การเขียนการอ่านมันก็เหมือนกัน
ตอนนี้นักเขียนในประเทศไทย มีเยอะแยะแทบจะเหยียบกันตาย หนังสือไทยยังสตาร์ทพิมพ์กันที่สามพันสองพันเล่ม คิดแบบโง่ๆ กำปั้นทุบดิน แบบไม่ต้องพึ่งรัฐบาล แบบไม่ต้องพึ่งสมาคมใดให้มาช่วยเรา ฉันว่าแค่บรรดานักเขียนไทยด้วยกัน ช่วยซื้อของเพื่อนนักเขียนด้วยกันคนละเล่มสองเล่ม วงการหนังสือไทย คงโชติช่วงชัชวาลย์มากกว่านี้ แต่ที่ผ่านมา เราเคยคิดสนับสนุนกันและกันบ้างไหมเท่านั้น!
ยิ่งเราเป็นคนเขียนด้วยกัน
ถ้าเราไม่อ่านของกันและกัน
ไม่สนับสนุนกันและกัน
แล้วเราจะไปคาดหวังจากใคร
ฉันเชื่อว่าสิ่งดีๆ ในโลกนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นเพราะการด่าทอคนอื่นยันเต แต่มันจะเกิดขึ้นได้เพราะเราลงมือทำให้มันเกิดขึ้น เริ่มจากเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี มันต้องเริ่มที่ตัวเรา จากการกระทำของเรา
ไม่ใช่เอาแต่ด่าคนโน้น โม้อย่างนี้ไปวันๆ แล้วละเมอเพ้อไปว่า "ตัวกูของกู" เจ๋งกว่าคนอื่นเสียเต็มประดา แบบนั้นมันมักง่ายและน่าสมเพชเกินไป สำหรับสังคมทุกวันนี้
ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้บางช่วงบางเวลา อาจจะเจอคนที่ไม่ดีในสังคมนี้บ้าง แต่ฉันก็ยังรักผู้คนในวงการนี้เสมอมา บางคนไม่เคยพบเจอ ไม่เคยเห็นหน้า แต่ยังมีความปรารถนาดีให้กัน และฉันก็ยังคารวะเขาได้อย่างไม่ลำบากใจ
คุณเคยอ่านหนังสือจบสักเล่ม
แล้วอยากวางหนังสือเล่มนั้นไว้บนหัวนอน
หรืออยากกราบไหว้ทุกวันทุกคืนบ้างไหม
นั่นแหละ
สิ่งที่หนังสือเล่มหนึ่งทำได้
แล้วเราจะไม่รักผู้คนที่สร้างสรรค์หนังสือเหล่านั้นได้อย่างไร
ใช่ไหม :)
มีคำถามหลายข้อค่ะวันนี้
1.แล้วคุณล่ะ อยู่วงการไหน
2.ผู้คนในแวดวงของคุณเป็นอย่างไร
ดีเลว น่ารัก หรือเช่นไร คุณรักพวกเขาแค่ไหน
3.วงเหล้า วงดื่ม วงสังสรรค์ ของคุณเป็นแบบไหน
4.เย็นวันศุกร์ เช้ากลางวันเย็น วันเสาร์-อาทิตย์ คุณมีชีวิตแบบใด
5.คออ่อน คอแข็ง-กินเหล้าถึงเช้ากะเขา …เคยไหม
6.ปิดท้าย อยากรู้ว่าคุณชอบบล็อกไหนที่สุด ฝากชื่อบล็อก ชื่อลิงค์เอาไว้หน่อย เผื่อตามเข้าไปอ่านบ้าง ขอแค่บล็อกเดียวเท่านั้นนะ ห้ามตอบบล็อกนี้นะคะ แค่นี้ก็ดีใจมากเกินพอแล้วค่ะ :)
ถามค่ะ ถาม
ถ้ายากไป ยาวไป เลือกตอบบางข้อก็ได้ค่ะ
All Rights Reserved.
2007 Copyright©'prypansang
..คนอ่าน