[เมื่อหลายปีผ่านไป]
ในจำนวนพ็อคเก็ตบุ๊คทั้งหมดร่วมยี่สิบเล่มของฉัน ดูเหมือนว่าเนื้อหาถ้อยคำต่างๆ
ในหนังสือ " i hate you" ฉันเกลียดเธอ ฉันรักเธอ ชีวิต เล่มนี้ จะกลาย "เป็นอื่น"
มากที่สุด
"พี่เคยลองค้นหางานเขียนของพี่ในอินเตอร์เน็ตบ้างหรือเปล่า"
น้องคนหนึ่งเคยถามหาหนังสือเล่มนี้ เมื่อฉันบอกว่ากำลังนำมาพิมพ์ใหม่ เธอก็บอกว่า
"พี่ลองค้นงานเขียนของพี่เล่มนี้ในเน็ตนะ หนูว่ามันมีอะไรประหลาดๆ เยอะ
พี่ต้องลองเข้าไปดูเอง"
ด้วยความสงสัย ฉันเลยลองพิมพ์ "บางคำ" ที่เป็นถ้อยคำสำนวน"ของฉันเอง"
ลงช่องเสิร์ชของกูเกิ้ล เช่นคำว่า "พลทหารกับเจ้าหญิง" หรือคำว่า "รักเธอกอดคนอื่น"
หรือแม้แต่คำว่า "แค่อยากรู้...เธอยังไม่ลืมฉัน"
ก็พบเรื่องชวนประหลาดใจหลายเรื่องอย่างที่น้องว่าจริงๆ แฮะ....
เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง ที่ฉันพบว่าเนื้อความจากหนังสือเล่มนี้
ถูกหยิบยกไปแปะไว้ในบล็อกและเว็บไซต์ต่างๆ มากมาย
แต่น่าใจหายอย่างยิ่งที่พบว่ามีน้อยมากที่ลงเครดิตเอาไว้ให้ว่านำมาจากหนังสือเล่มไหน
แต่ที่ทำให้อึ้งไปหลายวิ ก็เห็นจะเป็นบางบล็อกบางเว็บไซต์
เจ้าของดูเหมือนจะใช้ถ้อยคำประมาณว่าตัวเองเป็นคนเขียนขึ้นมาเสียอย่างนั้น ....
แน้...น้อยๆ หน่อยนะจ๊ะน้อง
ฮ่วย น้องว่ามาเสียอย่างนี้ พี่พิมพ์เป็นเล่มรอบนี้
มิกลายเป็นว่าพี่ไปเอางานเขียนของน้องมารวมด้วยรึเนี่ย :)...
มีบล็อกหนึ่ง ยกบางข้อความไปแปะสิบกว่าบรรทัดที่เหมือนเป๊ะ ยกเว้นสองบรรทัดสุดท้าย
ฉันเลยลองแปะข้อความบอกไปประมาณว่า "ดีใจที่น้องชอบเรื่องนี้นะคะ
แต่ถ้าวันหลังช่วยลงเครดิตให้หน่อย ว่าเป็นงานเขียนของพี่'ปราย
จากหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ ก็จะขอบคุณอย่างยิ่ง"....
น้องเขาก็ตอบกลับเร็วทันใจประมาณว่า ที่ไม่ได้ลงเครดิตเอาไว้ให้
เพราะคิดว่าทุกคนรู้อยู่แล้วทั้งนั้นว่าเป็นงานของพี่'ปราย
แล้วน้องเขาก็หยอดคำหวานๆ ประมาณว่า "หนูเป็นแฟนหนังสือพี่ค่ะ" ทำนองนั้น
โธ่ ชีวิต
ฉันเกลียดเธอ ฉันรักเธอ จริงๆ นะเนี่ย : )
แต่อย่างไรก็ตามเถิด คำหวานๆ คงไม่สามารถแก้ปัญหาชีวิตได้ทุกครั้งหรอกนะ
ไม่รู้ว่าน้องเขารู้เรื่องนี้บ้างหรือยัง :)
นอกจาก "เรื่องประหลาด" ดังที่ว่ามาข้างบนแล้ว
ฉันเองก็ยังมีเรื่องที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับการจัดพิมพ์ "ฉันเกลียดเธอ ฉันรักเธอ
ชีวิต" รอบนี้อยู่มากเหมือนกัน จะว่าไปแล้ว ฉันมีปัญหากับการนำงานเก่าๆ
มาพิมพ์อยู่ทุกรอบนั่นแหละ
ในฐานะคนเขียนหนังสือ คนขายหนังสือคนหนึ่ง
การที่ร้านหนังสือยังมีหนังสือเราทุกเล่มหรือเกือบทุกเล่มวางจำหน่ายอยู่นั้น
มันเป็นสุดยอดของความปรารถนาเลยทีเดียว แต่บางเล่มที่มันขาดตลาดไปนานแล้ว
และต้องการนำมาพิมพ์ใหม่อีกครั้งอะไรอย่างนี้
มันเป็นเรื่องที่ทำเอาฉันเครียดปางตายเลยทีเดียว เพราะต้องตรวจแก้ ต้องอัพเดทอะไรๆ
อย่างชนิดที่ว่าเขียนเล่มใหม่เลยยังง่ายกว่าเยอะ
หลายคนไถ่ถามถึงหนังสือของฉันบางเล่มขาดตลาดไปนาน แต่ไม่ได้พิมพ์ใหม่สักที
ก็ด้วยเหตุผลนี้เป็นสำคัญ จึงอยากจะบอกว่า ถ้ารักกันชอบกัน
เห็นหนังสือออกวางแผงเมื่อไหร่ ก็รบกวนคว้าไว้ก่อนละกันนะคะ
เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสได้พิมพ์ซ้ำหรือเปล่า :)
อันที่จริง เจ้าของหนังสือก็คงอยากพิมพ์ใหม่
อยากเห็นมันมีวางอยู่ในร้านหนังสือตลอดเวลานั่นน่ะ อยากกกกกกกกกกกกกก เป็นที่สุด
แต่นึกถึงขั้นตอนที่ตัวเองต้องทำงานแล้ว ก็แทบจะหายอยากไปเลยแหละ
ปัญหาสำคัญของฉันในการดูแลจัดพิมพ์งานเขียนเก่าๆ เหล่านี้ก็คือ ฉันอยากแก้ไข
อยากปรับเปลี่ยนอะไรอยู่ตลอดเวลา มันเหมือนกับว่า ตอนนั้นเราคิดบางเรื่องจบไปแล้ว
แต่เมื่อกลับมาคิดเรื่องนั้นตอนนี้ เรากลับอยากเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง
ซึ่งบางทีฉันคิดว่ามันไม่สมควรทำกับงานตัวเองอย่างนั้น
แต่ฉันก็มักจะทำใจไม่ได้สักที ก็เลยปางตายอย่างที่เห็น
บางคนบอกว่าทำไมไม่ปล่อยให้คนอื่นดูแลให้ ฉันก็ตอบได้เลยว่าไม่ได้หรอก โอเค
บรรณาธิการเก่งๆ ดีๆ ในบ้านเรา ในโลกนี้ก็มีเยอะอยู่หรอก
แต่ฉันคิดว่างานเขียนของเรา บางเรื่องเราต้องตัดสินใจเองน่ะ
บรรณาธิการอาจจะช่วยในเรื่องการตรวจแก้อะไรบ้าง แต่หลักๆ ของเรื่องเราก็ต้องดูแลเอง
ขอยกตัวอย่างเรื่อง "พลทหารกับเจ้าหญิง" หนังสือพร้อมจะส่งพิมพ์ตั้งนานแล้ว
แต่จำได้ว่าฉันติดขัดอยู่กับเนื้อความบทนี้บทเดียวอยู่นานเกือบสัปดาห์เลยทีเดียว
อย่างที่บอกไว้ในเล่ม "พลทหารกับเจ้าหญิง" บทนี้
ฉันเขียนขึ้นมาจากบทตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง Cinema Paradiso
เรื่องราวมีอยู่ประมาณนี้
ทหารหนุ่มแอบหลงรักเจ้าหญิงเลอโฉม
เขาตระหนักถึงความสูงส่งของเธอ
เฉกเช่นเดียวกับที่ตระหนักถึงความต่ำต้อยของตน
แต่เขายังรวบรวมความกล้า
เดินเสี่ยงตายเข้าไปบอกเธอว่า'รัก'
และจะอยู่บนโลกต่อไปโดยไม่มีเธอ--ไม่ได้
เจ้าหญิงผู้เป็นดวงใจตอบเขาว่า
ถ้าเขาสามารถรอคอยอยู่ใต้ระเบียงห้องเธอ
ได้ติดต่อกัน 100 วัน 100 คืน เธอจะเป็นของเขาตลอดไป
ณ ใต้ระเบียง ทหารหนุ่มเฝ้ารอคอยอยู่ตรงนั้น
วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า
โดยไม่ยอมขยับเขยื้อนกายไปไหน
เขารอคอยในสายลมบาดผิว
รอคอยในสายฝนกระหน่ำ
รอคอยในความหนาวเหน็บของหิมะ
วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า
โดยมีเจ้าหญิงของเขาเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา
เธอเห็นหยาดน้ำตาของเขาพรูพราวเป็นสาย
จนกระทั่งในคืนที่ 99
ทหารหนุ่มหยุดร้องไห้
หยุดรอคอย หยุดทุกอย่างไว้
แล้วหันหลังเดินจากไป
เรื่องราวจาก Cinema Paradiso จริงๆ แล้วมีเพียงแค่นั้น
เรื่องนี้จบเพียงว่าในคืนที่ 99 พลทหารลุกเดินจากไป ทิ้งค้างเรื่องราวต่างๆ
ให้เราคิดต่อไปได้อีกมากมายไม่รู้จบ
เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ฉันเขียนถึงเรื่องนี้ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์มติชน
ฉันคิดว่าเรื่องราวของพลทหารกับเจ้าหญิงอาจจะเหมือนนาฬิกาทราย
เมื่อฝ่ายหนึ่งเริ่มหมดรัก แต่อีกฝ่ายกลับรักมากขึ้น รักจนเพิ่มพูนเต็มเปี่ยม
ทีแรกเจ้าหญิงอาจจะไม่ได้สนใจพลทหารเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเห็นความอดทน
เห็นความเพียรพยายามของพลทหาร ฉันคิดว่าเจ้าหญิงเองคงจะรู้สึกอะไรอยู่บ้าง
ตอนที่ทหารลุกหนีไปในคืนที่ 99 เจ้าหญิงอาจจะทรงช็อคแด่วไปเลยก็ได้ :)
หรือในอีกมุมหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้น
ฉันคิดว่าบางทีพลทหารอาจจะไม่คิดจะครอบครองเจ้าหญิงตั้งแต่แรกแล้วก็ได้
แต่การที่เขายอมทนทุกข์ทรมานอยู่นานถึง 99 วัน 99 คืน ก็เพื่อพิสูจน์ให้เธอเห็นว่า
เขารักเธอจริงๆ แค่พิสูจน์ให้เห็น แต่ไม่ต้องการครอบครองไว้
หรือในอีกมุมหนึ่ง ตอนนั้น บางทีพลทหารอาจจะต้องการอยากได้
อยากครอบครองเจ้าหญิงจริงๆ ก็ได้ เขาอาจจะตั้งใจพิสูจน์ตัวเองให้ครบ 100 วัน 100
คืน ตามกำหนด แต่ในระหว่างวันคืนทุกข์ทรมานเหล่านั้น มันอาจจะทำให้เขาค้นพบได้ว่า
เจ้าหญิงนั้น "ใจดำ" แค่ไหน ที่ปล่อยให้เขาเจ็บปวดทรมานได้ถึงเพียงนั้น
และเมื่อถึงคืนที่ 99 เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่รักเธออีกต่อไป
เมื่อฉันต้องกลับมาดูเรื่องการจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้อีกครั้งในวันนี้
ฉันก็อดไม่ได้ที่จะคิดหาคำตอบว่าพลทหารลุกหนีไปในคืนที่ 99 นั้นด้วยเหตุผลใดกันแน่
อยากลองถามคุณๆ บ้าง
คุณคิดว่าพลทหารลุกหนีไปในคืนที่ 99 เพราะอะไรหรือคะ :)