ผู้หญิงสีฟ้าครึ้มฝน กับ ผู้ชายครึ่งฝัน
กว่าจะเห็นเป็นเล่ม ก็เกือบเสียชีวิตหลายศพ พี่น้องเอ๋ย!
...........
หลายครั้งมาแล้ว เวลาเร่งปิดงานหนังสือแล้วเจอปัญหาเยอะ
ฉันจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกตัวเอง "ตรูไม่เอาแล้ว เล่มนี้เล่มสุดท้ายแล้ว
ตรูพอแล้ว ตรูจะเลิกทำแล้ว"
...
แต่เวลาหนังสือเสร็จเป็นเล่ม อุ่นๆ ออกมาจากแท่นพิมพ์
ฉันก็มีอาการลืมความเหนื่อยยากที่ผ่านมาจนหมดสิ้น นั่งเปิดดู นั่งพลิกดูอยู่นั่น
....
ไม่อยากเชื่อเลยว่า งานที่มีปัญหาเยอะขนาดนั้น
เมื่อเสร็จออกมาแล้ว มันจะทำให้เราชื่นใจได้ขนาดนี้
....
เมื่ออ่านถึงตรงนี้ อยากให้คุณลองเหลือบตาไปทางซ้ายมือ
เลื่อนบาร์ลงด้วยเล็กน้อย ก็จะพบ "ผู้หญิงสีฟ้าครึ้มฝน" กับ "ผู้ชายครึ่งฝัน
นั่นล่ะค่ะ ความเหนื่อยยากอีกสองเล่มของเรา
...
คุณว่าหนังสือน่ารักมั้ย ...
น่ารักเนอะ :)
...
แต่คุณรู้ไหมว่า กว่าหนังสือทั้งสองเล่มนี้จะเข้าโรงพิมพ์ และออกจากโรงพิมพ์มาได้
เราต้องผ่านอะไรมาบ้าง นี่คือหนังสือสองเล่มที่ดูดกินพลังชีวิตของฉันไปมากที่สุด
...
น้ำตาหรือ ก็ปริ่มๆ อยู่หลายรอบ บ้างปริ่มเพราะโกรธบ้าง บ้างปริ่มเพราะง่วง
ล่าสุดก็ปริ่มเพราะหนังสือมันก็ออกมาโอเคนะ ทำนองนั้น
...
น้ำตา เคยผ่านแล้ว
เลือดหรือ ...ก็ไม่แน่
ถ้าหนังสือขายไม่ออก
ก็อาจจะต้องมีคนเลือดตกยางออก
ขึ้นมาบ้างเหมือนกันนะ
...
ลุล่วงไปอีกสองเล่ม แต่ยัง...ยังไม่จบ
งานหนังสือมันก็อย่างนี้
เวลาอยากจะทำ คุณอาจจะทำได้เลยทันที
แต่เวลาคุณอยากเลิก มันไม่ใช่จะเลิกกันได้ทันที หรอกนะ อย่างน้อยก็ต้องเคลียร์อะไรๆ
อีกพักใหญ่ๆ เลยแหละ
(หมายถึงว่าถ้ายังมีสำนึกรับผิดชอบชั่วดีแบบมนุษย์มนาสามัญบ้างน่ะนะ)
.... ...
การทำหนังสือ เราต้องติดต่อ ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนอยู่ไม่น้อย
เดี๋ยวทำเดี๋ยวเลิก
ผีเข้าผีออก ยึดถืออะไรไม่ได้แบบนั้น ฉันไม่เอาด้วย
...
อันที่จริง ในชีวิตฉันก็ไม่ค่อยจะ "เลิก" กับอะไรง่ายๆ สักอย่าง
แม้แต่ "แฟน" ก็เหอะ
...
ฉันรักคนยาก เรื่องมาก คิดมาก ลองว่าถ้าตัดสินใจเลือกเขาเป็นคนรักของเราแล้ว
มันต้องผ่านการใคร่ครวญมาอย่างดีแล้วแน่นอน
...
หลังจากนั้น ถ้ามีอะไรที่ขัดใจบ้าง ก็จะพยายามพูดคุย ไกล่เกลี่ย
ปรับความเข้าใจอย่างถึงที่สุด ถ้าต้องเลิกกันจริงๆ
นั่นหมายถึงว่ามันปรับอะไรกันไม่ติดแล้วจริงๆ ตรงนี้ฉันมั่นใจตัวเองมาก
...
แต่คนอื่นที่มองเข้ามาอาจจะไม่เข้าใจ เพราะหลายเรื่องในชีวิตที่ต้องเลิกรา
ต้องแยกย้ายจากกันไป เราก็ไม่เห็นว่ามันจำเป็นที่ต้องแถลงข่าว หรือไปอธิบายกับใคร
....
ยิ่งเลิกกันแล้วยิ่งพยายามอธิบายเนี่ยนะ ฉันว่ายิ่งพูดยิ่งแย่ ยิ่งบอกเหตุผลเนี่ย
คนฟังยิ่งรับไม่ได้ "เฮ้ย เอ็งเลิกกันด้วยเหตุผลแค่นี้เองเรอะ"
...
อย่างเวลาอ่านข่าวดาราเลิกกัน ฉันโคตรเซ็ง เปิดผ่านเสียทุกทึ
(ดาราเลิกกันขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ โอย ฉันจะบ้าตาย
ตัวคนเป็นข่าวสงสัยจะยิ่งเซ็งวายป่วง ขนาดเราคนอ่านยังเซ็งจะตาย
แล้วหนังสือพิมพ์ประเทศอื่นเขาเน้นเรื่องนี้เหมือนเราบ้างหรือเปล่าเนี่ย
ถ้าเป็นหนังสือดาราแทบลอยด์ก็ว่าไปอย่างเนอะ)
แล้วเวลาที่นักข่าวพยายามขุดคุ้ยหาเหตุผลเสียให้ได้ แล้วเวลาคนอธิบาย
มันก็ยิ่งไร้เหตุผล ไร้สาระเสียทุกที
...
จะบอกว่าบางอย่างเนี่ย มันเล็กน้อยก็จริง แต่คนที่คบหากัน
ถ้ามันเจอเรื่องเล็กน้อยพวกนี้บ่อยๆ เจอทุกวัน เจอตลอดเวลา มันก็เลิกกันได้แน่นอน
...
บางคนเคยคบกันยาวนานมากว่าสิบปี เคยเลิกรากันไปหลายครั้ง เคยเลิกกันไปเกือบสองปี
แต่ก็กลับมาคบกันใหม่ได้อีกสองสามปี
...
ตอนที่เลิกกัน ฉันก็ไม่เคยพูดกับใครเลยว่าเราเลิกกัน
เรื่องพวกนี้ไม่เคยออกมาจากปากฉัน แม้แต่เพื่อนพ้องน้องพี่คนใกล้ชิดที่เจอกันบ่อยๆ
ยังไม่รู้เลย
...
จนผ่านไปนานมาก ค่อยมีบางคนระแคะระคาย อาจจะเอ่ยถามบ้าง ตอนนั้นแหละที่อาจจะตอบบ้าง
ถ้าเป็นคนที่เราใส่ใจ แต่บางคนถามมา ฉันก็ไม่เคยตอบอะไร อาจจะแค่ยิ้มๆ
พูดเล่นเจ๊าะมุกไปเรื่อยตามประสา แต่จะไม่พูดเรื่องนี้กับเขา
...
ความที่เราไม่ได้พูด ไม่อยากพูดเรื่องแบบนี้กับใคร
เวลามีเรื่องแตกหัก ต้องแยกย้ายจากกัน
ฉันมักจะถูกมองว่าเป็นฝ่ายผิดอยู่เรื่อย
ซึ่งถ้าไม่กระทบกระเทือนความมั่นคงของชาติ :)
ก็ต้องปล่อยให้เวลาตัดสินไป
แล้วแต่คุณจะคิดไปก็แล้วกัน(โว้ย!)
...
ฉันเคยทำงานประจำในบริษัทผลิตหนังสืออยู่หลายที่
บางแห่งก็ไม่มีอยู่บนโลกนี้แล้ว แต่ตัวคนทำก็ยังวนเวียน
บางทียังอยากทำอะไรแบบนี้อยู่เหมือนกัน
แต่จะเริ่มใหม่อีกทีก็คงลำบากแล้ว
..
อย่างบางคนเจอกันอีกครั้งยังเคยชวน มาทำโน่นทำนี่กันมั้ย
ฉันก็อึ้งๆ คงเป็นไปไม่ได้แล้วเน้อ
ถ้าทำตอนนี้ ฉันก็ได้แต่เพียงอนุโมทนา
...
ไม่ว่าจะเบื่อแค่ไหน แต่คุณก็ต้องทำไปจนจบกระบวนการ
ซึ่งไม่ใช่แค่พิมพ์เสร็จส่งขายหน้าร้านเท่านั้นนะ
เพราะในหนึ่งปีกว่าๆ หลังหนังสือออกวางจำหน่าย
คุณยังต้องคอยเคลียร์สต๊อกหนังสือ เคลียร์บัญชีรับจ่าย ต้องเสียภาษี อะไรต่อมิอะไร
มิใช่จู่ๆ ทำ จู่ๆ เลิก เหมือนเล่นขายของได้เมื่อไหร่
...
...
บังเอิญว่าฉันไม่เคยคิดเลิกทำหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือคนอื่น เช่น เป็นเรื่องแปล
หรือเป็นงานเขียนของนักเขียนไทยท่านอื่น ซึ่งปีนี้อยู่ในโปรเจคท์เราหลายเล่ม
...
หรือกระทั่งหนังสือของตัวเอง ...
ก็เขียนเอง พิมพ์เอง อย่างนี้
มีความสุขจะตายนิ จะเลิกทำไมเล่า
..
ถ้าขายได้บ้าง พอมีกำไรบ้าง เราก็เอาไปพิมพ์หนังสือดีๆ เล่มอื่นออกมาอีก
มันเป็นการงานที่โอเคจะตาย
จะเลิกทำไม
....
ด้วยความเชื่อมั่นบางอย่าง ตลอดเดือนกรกฏาคมนี้ ฉันกับทีมงานอีกสองสามคนที่ออฟฟิศ
จึงตั้งใจทำงานแข่งกับเวลา กับหนังสืออีกสามสี่เล่มเพื่อให้ทุกอย่างลุล่วงตามกำหนด
.......
ฉันดูปฏิทินแล้วรู้สึกว่า ถ้ามันเสร็จได้ทั้งหมดนี้ โลกนี้ฉันคงทำอะไรก็ได้ ....
ไม่เหลืออะไรต้องกลัวแล้ว เพราะนี่คงเป็นจุดที่ยากที่สุดแล้ว
...
ยากที่สุด
แต่ก็ทำให้เรามองเห็นปัญหา
มองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนที่สุด
อย่างที่ไม่เคยเห็นชัดขนาดนี้มาก่อน....
........
เมื่อสองสามเดือนก่อน
ฉันตัดสินใจได้แล้วในบางเรื่อง
...
แต่กับ'ความรับผิดชอบ'เฉพาะหน้ายามนี้ ฉันไม่แน่ใจเรื่องเวลา
จึงตัดสินใจกดโทรศัพท์สองสามสาย ปรึกษาพี่ๆ เพื่อนๆ ที่คลุกคลี "วันนี้ไปไม่ได้
แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้จะแวะไปหานะ ไม่เป็นไรน่า เดี๋ยวช่วย ลุยอาทิตย์หน้านะ ฟรี
ไม่คิดเงิน แต่ต้องเตรียมเบียร์เอาไว้ให้ด้วย" สายหนึ่งว่ามาอย่างนั้น
..
หา! มันง่ายขนาดนี้เชียวเรอะ...
.........
ฉันขำสุดๆ แบบหยุดไม่ได้อีกครั้ง เมื่อกดอีกเบอร์
แล้วพบเสียงตัดพ้อน้อยใจว่าทำไมไม่โทรมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ "ไม่รู้สิ เธองานเยอะ
ฉันก็เกรงใจ"
....
สายนี้บอกว่า เดี๋ยวจะมาช่วย แล้วจะพาคนมาสมัครงานที่ออฟฟิศด้วยในสัปดาห์หน้า
"เค้าอยากทำมาก"
...
ฉันร้องลั่น "เฮ้ย ไม่มีปัญญาจ้างหรอก ไม่ต้องมา"...
.......
เจ้าตัวยังยืนยันว่า "ทำให้ฟรีก็ได้ เค้าชอบหนังสือเธอมาก"
......
ถ้าคุณเขียนหนังสือมาประมาณหนึ่ง ถ้ามีคนติดตามอ่านหนังสือของคุณมาประมาณหนึ่ง
คุณจะรู้ว่า ตัวหนังสือแต่ละตัว แต่ละคำเนี่ย มันมีพลังอำนาจมากมายมหาศาลเลย
...
ดังนั้น กรุณาอย่า "ชุ่ย" กับหนังสือ หรือตัวหนังสืออย่างเด็ดขาด!
ไม่ว่าคุณจะเขียนอะไร หรือทำหนังสืออะไร
........
นั่นเป็นสิ่งที่ฉันพบ เชื่อ และยึดถือปฏิบัติ...
เพราะไม่อยาก "ชุ่ย" กับสิ่งที่เรารักนี่แหละ
ก็เลยต้องเหนื่อยหนักหน่อยช่วงนี้
จากปีแรกๆ ที่เปิดบริษัท ความที่กลัวว่าจะไปไม่รอด
ฉันรับงานใหญ่เกินตัวเข้าบริษัทมากมายหลายงาน มีรายได้เยอะก็จริง
แต่รายจ่ายก็เยอะตามเป็นเงา ส่วนคนทำงานเหนื่อยแทบตาย
...
ปีนี้เอาใหม่ ฉันเลือกรับเฉพาะงานที่คิดว่าโอเค เช่นรสนิยมคนจ้างโอเค
(ไม่ใช่อยากได้แต่ปกเห่ยๆ ประเภทว่าถึงงานผ่านเกณฑ์ตัดสินของลูกค้าเรียบร้อย
แต่คนทำก็ยังอับอาย ไม่กล้าบอกใครว่าเราทำ งานแบบนี้ไม่อยากได้)
...
รสนิยมสำคัญกว่าเงินนะ
บอกได้เลย
...
ฉันไม่อยากหาเงินแบบนั้น ไม่อยากเป็น money machine
แต่อยากทำงานที่เราภาคภูมิใจกับมันหน่อย
อย่างน้อยเอาไปอวดเพื่อนได้โดยที่ไม่ต้องกลัวมันล้อน่ะนะ :)
...
นอกจากรสนิยมที่สอดคล้องกันระหว่างคนทำกับคนจ้างแล้ว
เวลาในการทำงานต้องเป็นไปได้ด้วย ไม่ใช่ส่งวันเสาร์
แล้วจะเอาปกเอาตัวอย่างอาร์ตเวิร์ควันจันทร์ (แล้วตรูจะไปตามคนทำมาจากไหน
ออฟฟิศปิดเสาร์อาทิตย์นะ)
...
ด้วยความที่ไม่อยากเหนื่อย ไม่อยากเสียเวลาเหมือนปีแรกๆ อีกแล้ว
ปีนี้เราจึงปฏิเสธงานใหญ่ไปหลายงานทีเดียว ปฏิเสธอยู่บ่อยครั้งจนคนติดต่อมานึกว่า
"บ้าป่าววะ ทำไมไม่เอา ชั้นอุตสาห์ไฟท์มาให้เธอนะ"
....
กับรายนี้ จำได้ว่าฉันตอบสวนไปทันทีว่า "เบื่อว่ะพี่
ไม่อยากทำหนังสือให้พวกงี่เง่าหลงตัวเอง"
.......
แม้เลือกทำเฉพาะสิ่งที่คิดว่าใช่แล้ว แม้จะวางแผนการทำงานมาอย่างดีแล้ว
แต่เอาเข้าจริง ก็ยังล่าช้า ยังเกิดปัญหา
....
ฉันเองก็ถอดใจไปแล้วกับหลายอย่างที่แก้ไขไม่ได้...
ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามครรลองของมัน
ฉันไม่ฝืน
ไม่งั้นเหนื่อยตาย
เครียดตาย ..
..........
หลายอย่างยังดูดี มีข้อบกพร่องบ้าง แต่ยังเยียวยาได้
ส่วนนี้เราอาศัยการพูดคุย จัดระเบียบใหม่
.....
ดูเหมือนว่าโลกยังไม่ใจร้ายกับเรามากเกินไป เพราะในช่วงหลายๆ วันมานี้
มีเพื่อนพ้องน้องพี่จากภายนอก สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาช่วยงานเราหลายคน
เมื่อวานน้องคนหนึ่งก็เพิ่งได้กลับบ้านตอนตีสี่ ...
....
....
นี่ค่ะหน้าตาหนังสือ
ที่เราต้องอดหลับอดนอน
เกือบค่อนสว่าง
-ก็ได้อะไรๆ
ที่น่าชื่นใจ
(ของคนทำน่ะนะ)
มาประมาณนี้เอง
...
วันที่ส่งงานเข้าโรงพิมพ์เรียบร้อย
ฉันขอบคุณเขาซ้ำหลายครั้ง
ด้วยความรู้สึกแท้จริงจากใจ ก่อนจะขึ้นเตียงสลบเหมือด
นะ
ค่อยโล่งไปอีกเปลาะ
การมีคนที่เข้าใจกันง่ายๆ บ้าง
โดยไม่ต้องอธิบายกันซ้ำหลายรอบ
มันก็ดีอย่างนี้เอง..
.....
อันที่จริง บางอย่างเราไม่จำเป็นต้องทำ
ไม่ต้องรับผิดชอบคนเดียวก็ได้....
แต่บางอย่าง ไม่ทำก็ไม่ได้
ขี้เกียจตื่น ขี้เกียจลุกจากเตียงแค่ไหน ก็ต้องลุกขึ้นมาทำ
ในโลกของการงานที่เราเลือกแล้ว ถึงแม้จะเป็นความฝันของเรา เป็นความตั้งใจของเรา
แต่ก็ใช่ว่าจะตามใจตัวเองได้ทั้งหมด
......
ความฝันยิ่งใหญ่แค่ไหน
ระเบียบวินัยและความรับผิดชอบ
ยิ่งต้องมากขึ้นแค่นั้น!
ฝันอย่างเดียว
หรือรักอย่างเดียว มันไม่รอดหรอกคุณ
โปรดเชื่อฉัน :)
...
ยิ่งเป็นออฟฟิศของเราเอง บริษัทของเราเอง อย่านึกเชียวว่าเราจะสบาย
อย่านึกเชียวว่าจะตื่นกี่โมงก็ได้ จะมาทำงานกี่โมงก็ได้
ในเมื่อเรามีบิลโรงพิมพ์ที่ต้องจ่าย มีค่าน้ำค่าไฟ ค่าใช้จ่ายจิปาถะสารพัด
ซึ่งทุกอย่างมันมีกำหนดเวลาชำระของมัน จะมาเรื่อยเฉื่อยทำงานตามอารมณ์ตัวเองได้ไง
...
งานเขียนเป็นแขนงหนึ่งของศิลปะ แต่กว่าหนังสือจะเสร็จเป็นเล่มออกมาได้
ล้วนต้องอาศัยกลไกธุรกิจที่มีระบบระเบียบของมันอยู่
...
การทำธุรกิจทุกอย่าง คนทำต้องวางแผนธุรกิจ เขียนแผนการทำงานอย่างละเอียดรอบคอบ
ต้องมีกำหนดการทำงานอย่างชัดเจนแน่นอนที่สุด เท่าที่จะเป็นได้
แต่เท่าที่คลุกคลีสัมผัสมา ฉันไม่แน่ใจว่าคนทำงานหนังสือ (ที่ไม่ใช่เจ้าของเงิน)
ให้ความสำคัญกับแผนการทำงานให้รัดกุม หรือทำงานให้เสร็จตรงตามเวลาอย่างนี้แค่ไหน
...
บางคนรับไม่ได้เลย เรื่องตอกบัตรหรือลงเวลา ทั้งๆ ที่ตัวเองสาย ขาด ลา
อยู่เป็นประจำ ซึ่งฉันว่ามันตลกมาก ติสต์มากจริงๆ แล้วก็คิดอะไรของคุณวะ
---
ฉันนึกในใจ
...
การที่เราไม่ตอกบัตร ไม่ลงเวลาทำงาน นั่นเป็นเพราะว่าเราไว้ใจว่าคุณมีความรับผิดชอบ
คุณไว้ใจได้ ว่างานต้องเสร็จตรงตามเวลา
...
แต่ถ้าคุณสาย คุณขาด คุณลา แถมงานไม่เคยเสร็จทันเวลาอยู่เป็นนิจ
ออฟฟิศไหนยังจ้างคุณไว้ ก็พอจะมองเห็นอนาคตของออฟฟิศนั้นได้บ้างเหมือนกัน
...
น้องฝ่ายประสานงานโรงพิมพ์คนหนึ่งบอกฉันว่า "พี่...ช่างแท่นพิมพ์แท่นเพลทของหนูนะ
บางคนอ่านหนังสือไม่ออกเลยนะ เค้าไม่รู้หรอกเราพิมพ์อะไร หนังสืออะไร
รู้แต่ว่าถ้างานเร่งต้องมีโอที เงินเดือนต้องจ่ายตรงเวลา ไม่งั้นเรื่องใหญ่มาก "
........
นั่นสิ
....
หนังสือล่าช้า คนสาย คนเบี้ยว คนพลาด คนโกง คนลา คนป่วย
ทุกอย่างล่าช้าได้หมด
ยกเว้นเรื่องเงิน ที่ห้ามล่าช้า
..........
ด้วยเหตุนี้ แม้งานเขียนจะเป็นศิลปะ แต่คนเขียน (ที่บังเอิญมาเป็นคนทำหนังสือด้วย)
ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นจับกังผู้ใช้แรงงานตัวหนังสือคนหนึ่ง
ซึ่งต้องทำงานหนักไม่ต่างจากคนงานประจำแท่นพิมพ์แท่นเพลท
หรือคนแบกกระสอบข้าวสารที่ท่าเรือแต่อย่างใด
...
ด้วยเหตุนี้ ฉันมักจะสะดุ้งทุกที เวลาไปไหนแล้วมีคนแนะนำตัวให้ว่า เป็นนักเขียน
เป็นอาร์ติสต์ แล้วคนฟังก็จะทำหน้าตื่นเต้น ซึ่งเวลาเจอแบบนี้ ฉันก็มักจะยิ้มแห้งๆ
แล้วเจ๊าะมุกเติมไปเล็กน้อยว่า "ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ" ทำนองนั้น
...
เพราะบางวัน แม้แต่ "อารมณ์" ในการทำงาน ยังรอไม่ได้เลย
...
โลกนี้มันมีคำว่า"ความรับผิดชอบ"อยู่ในพจนานุกรมชีวิต
.......
ตั้งแต่เล็กจนโตมา ฉันเคยพบเจอ เคยคลุกคลีกับผู้คนในโลกนี้มาไม่น้อย
มีหลายครั้งที่ฉันมองคนอื่นแล้วสงสัยว่า คุณสะกดคำนี้เป็นบ้างหรือเปล่าวะ
...
ไม่อยากเป็นเหมือนคนที่เราเกลียด
...
ก็อย่าทำอย่างนั้นเสียเอง
ฉันคิดอย่างนั้น
มันก็เลยต้องแบกอะไรนิดหน่อย
แต่ก็พอได้น่า
อย่างน้อย
ก็ยังไม่ตาย
แถมหนังสือก็ออกมาสวย
น่ารัก
น่าอ่านจะตาย
ว่ามั้ย:)
...คนอ่าน