.....
**ขอเปิดเผยความในใจหน่อยนะคะ : ตลอดเวลาปีเศษๆ ที่คลุกคลีตีโมงกับบล็อกนี้ สิ่งหนึ่งที่ดิฉันเรียนรู้จากที่นี่ได้อีกอย่างก็คือ วัฒนธรรมการอ่านของมนุษย์ออนไลน์ ดิฉันพบว่าส่วนใหญ่มันไม่ค่อยสร้างสรรค์เท่าไหร่เลยค่ะ อาจจะเป็นเพราะว่าชาชินกับของฟรีมากเกินไป จนไม่รู้สึกว่าต้อง "จ่าย" อะไร แม้แต่คำทักทายปฏิสันฐานกันสักคำสองคำ โอ้โห..นี่มันวัฒนธรรมอะไรกันเนี่ย
...
บางทีว่างๆ ดิฉันลองตาม ip หรือ url ที่ปรากฏในบล็อกนี้ไปบ้าง ไปอ่านของเขาบ้าง ก็พลอยไม่กล้าเขียนอะไรทิ้งไว้ให้เหมือนกัน เพราะเวลาเขามาบ้านเรา ก็ไม่เห็นทักทาย เราไปบ้านเขาบ้าง ก็ไม่รู้ว่าเขาจะยินดีต้อนรับเราหรือเปล่า พลอยทำให้เราใจจืดไปด้วยอีกคน บางทีมันก็เป็นเรื่องมิตรจิตมิตรใจนะคะ
...
อีกอย่างคือการไปด้วยช่องทางแบบนั้น มันไม่สง่างามเอาเสียเลย เจ้าตัวเขาอยากให้เรารู้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ ว่าเขาเข้ามาอ่านในบล็อกเราด้วย มันลำบากใจทุกฝ่ายอยู่เหมือนกันนะ แต่ถ้าเขาเคยทักทายเราในบ้านเราบ้าง ความรู้สึกแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นเลย ว่างๆ เราอาจจะแวะไปเยี่ยม ไปเขียนอะไรที่บ้านเขาบ้างโดยไม่รู้สึกกระดากใจ
..
อีกอย่างที่ดิฉันรู้สึกจากช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาก็คือ บางครั้งการไปเขียนอะไรในบล็อกคนอื่น ก็ไม่ได้หมายความว่าอยากให้เจ้าของบล็อกนั้นตามกลับมาเขียนในบล็อกเราเลยค่ะ ทุกครั้งที่เกิดอะไรอย่างนั้น ดิฉันก็รู้สึกผิดอยู่ทุกที ว่าไปสร้างความลำบากลำบนให้เจ้าของบล็อกเค้าหรือเปล่า[ที่เราไปเขียน]เหมือนต้องขอบคุณ ต้องตอบแทน เหมือนผลัดกันเขียนเวียนกันชมอย่างไรไม่รู้
...
แล้วการที่ต้องมาอ่านบล็อกดิฉันเนี่ย มันคงทรมานมากเลยสำหรับคนที่ไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ [มีงานวิจัยค่ะ ว่าคนใช้เน็ตสมาธิสั้น ไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ แต่บังเอิญดิฉันชอบเขียนยาวๆ ค่ะ เพราะติดมาจากงานเขียนคอลัมน์ที่ทำมาหลายปี จนระบบคิดและการจัดระเบียบตัวหนังสือในสมองมันเป็นแพทเทิร์นเดียวไปหมดแล้ว ซึ่งทำให้เขียนงานชิ้นนึง จะต้องไม่ต่ำกว่าสองหน้ากระดาษ A4 อยู่เสมอ ไม่ว่าจะพยายามตัดหรือทำให้สั้นแค่ไหนก็ตาม]
...
ตลอดชีวิตของดิฉัน พยายามหลีกเลี่ยงสังคมประเภท "ผลัดกันเขียนเวียนกันชม" เสมอมา ดังนั้น ถ้าพอจะเปลี่ยนแปลงอะไรในวัฒนธรรมออนไลน์นี้บ้าง ดิฉันอยากให้เราทุกคนที่อยู่ในสังคมนี้ รู้สึกว่ามันเป็น "หน้าที่" ในการฟีดแบค หรือสะท้อนความคิดความรู้สึกของตัวเองออกมาบ้าง เล็กๆ น้อยๆ สักคำสองคำ ทักทายสวัสดีกันเท่านั้นก็ยังดี
...
ทำเรื่อยๆ ทำบ่อยๆ ทำให้เป็นเรื่องปกติสามัญ ทำจนเหมือนการกินน้ำ เหมือนการหายใจ คือทำไปตลอดเวลาโดยที่ไม่รู้สึกว่ามันเป็นภาระอะไร ทำให้มันเป็นวัฒนธรรมออนไลน์ไปเลย ต่อไปจะได้ไม่ต้องรู้สึกกระดากใจในการทำสิ่งนี้ มันเป็นวัฒนธรรมที่น่าส่งเสริมให้แพร่หลายนะคะ
......
การเติบโตของวัฒนธรรมบล็อกในบ้านเราตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ดิฉันคิดว่ามันยังขาดการพัฒนาตรงนี้ประมาณหนึ่ง ผลระยะยาวของมันก็คือ ทำให้คนเขียนเบื่อหน่ายค่ะ เพราะไม่รู้จะเขียนไปทำไม บล็อกที่คนเขียนต้องการแสดงความรู้ความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ อย่างบริสุทธิ์ใจ โดยไม่มีเรื่องการค้าเข้ามาเกี่ยวข้อง มันจะค่อยๆ หายไป
....
ดิฉันเจอมาแล้วจากบล็อก top hit หลายบล็อกของ blogspot หรือ blog ดังยี่ห้ออื่นๆ ที่เคยเข้าไปอ่านประจำ สมัยที่ยังไม่มีบล็อกเป็นของตัวเอง ซึ่งปกติจะมีคนอ่านวันละเป็นแสนหลายแสน แต่คนคอมเมนต์น้อยลงเรื่อยๆ คนเขียนก็อัพเดทน้อยลงเรื่อยๆ คนอ่านก็ลดลงเรื่อยๆ จนที่สุดก็ปล่อยเป็นบล็อกร้างหรือลบทิ้งไปเลย อดอ่านกันไปเลย น่าเสียดาย บางบล็อกนั้นคนเขียนเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยท็อปเท็นของโลกเลยทีเดียว มีอะไรดีๆ ให้อ่านเยอะมาก
...
เมื่อเป็นดังนี้ ในช่วงต่อๆ ไปมันจะมีแต่บล็อกธุรกิจ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อการค้าขายมากขึ้น ตอนนี้บริษัทห้างร้านต่างๆ มองเรื่องบล็อกเป็นเรื่องธุรกิจการตลาดไปแล้วค่ะ ถ้าคนอ่านบล็อกไม่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอะไรบ้าง ในอนาคต สังคมบล็อกมันคงจะเป็นธุรกิจไปหมดล่ะค่ะ
.....
ดิฉันเป็นคนทำหนังสือ-เขียนหนังสือขายค่ะ เลี้ยงชีพด้วยตัวหนังสือ ไม่ชินกับของฟรี มันเป็นการงานที่ดิฉันรักและทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้มันดี ให้มันสร้างสรรค์ ความจริงดิฉันชอบกระดาษมากกว่าค่ะ ชอบกลิ่นหนังสือตอนที่เราอ่าน ชอบเสียงกระดาษตอนที่เราพลิกหน้าหนังสือ
...
ตอนนี้ดิฉันก็ถ่องแท้กับวัฒนธรรมบล็อกแล้วค่ะ อาจจะถึงเวลาที่ดิฉันต้องกลับ "ยาน"ที่จอดทิ้งเอาไว้บนโลกนานเกินไปแล้วกระมัง อาจจะถึงเวลาที่ต้องกลับดาวของตัวเองแล้ว :) และที่นี่มันอาจจะไม่ใช่ที่ทางแท้จริงของดิฉันแน่ๆ เลยค่ะ
..........
ดิฉันทราบว่าคนที่เข้ามาอ่านในบล็อกนี้มีไม่น้อยเลย ที่อยู่นอกประเทศไทยก็เยอะมาก อ่านประจำมาตลอดปี นี่ก็ปีใหม่แล้ว ไม่มีแก่ใจจะทักทายกันบ้างเลยหรือคะ ใจจืดใจดำอะไรเช่นนี้นะคนเรา
.......
ดิฉันว่าจะเลิกเขียนที่นี่หลายรอบแล้ว แต่ก็เกรงใจคนอ่านน่ารักๆ หลายๆ ท่านที่เข้ามาคุยเข้ามาทักทายกันเป็นประจำ เท่านั้นเอง บางวันเหนื่อยมาก ขี้เกียจมาก ไม่อยากเขียนอะไร แต่ก็พยายามเขียนค่ะ เพราะบางทีรู้สึกว่าเป็นหน้าที่เหมือนกัน ที่ต้องมาเติมเอ็นทรี่ใหม่ๆ ให้อ่านกัน เพราะเกรงใจ เวลาหลายคนที่ดิฉันแคร์ เฝ้าเวียนคลิกเข้ามาอ่านหลายครั้งแล้ว กลับไม่เจออะไรใหม่ๆ เลย
....
บอกได้เลยว่าถ้าไม่มีผู้อ่านที่น่ารักจำนวนน้อยๆ เหล่านี้ คงไม่ได้อ่านอะไรแถวบล็อกนี้นานแล้วค่ะ [เป็นเรื่องจริงนะ ว่าคนที่สร้างโลกให้น่าอยู่ หรือคนที่เปลี่ยนแปลงโลกในทางสร้างสรรค์นั้น มันมีเพียงไม่กี่คนจริงๆ]
...
สำหรับปีใหม่นี้ ดิฉันกำลังคิดตัดสินใจอยู่ว่าจะเปิดบล็อกนี้ให้อ่านเฉพาะสมาชิกดีหรือไม่ หรือเลิกเขียนบล็อกไปเลย แล้วกลับไปเขียนลงนิตยสารเหมือนที่เคยทำดีกว่า เพราะเขียนอะไรออกไป แม้ไม่มีฟีดแบคอะไรจากผู้อ่านเลย อย่างน้อยดิฉันก็ยังได้สตางค์เรื่องละหลายพัน ที่มีคนเต็มใจ"จ่าย"ให้ แล้วก็จะได้ไม่รู้สึกแย่บ่อยๆ เวลาเข้ามาที่นี่แล้วเจอแต่คนอ่าน โดยที่ไม่มีใครยอม "จ่าย" ฟีดแบคเล็กๆ น้อยๆ อะไรเลย
....
อย่างไรก็ตาม ก็ขอบคุณหลายๆ คนค่ะ สำหรับมิตรจิตมิตรใจ ที่มีให้กันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย หลายท่านเป็นมิตรใหม่ที่เพิ่งได้รู้จักกันที่นี่ นั่นเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ที่ดิฉันได้จากการทำบล็อกนี้ ดิฉันจะไม่ลืมคุณหรอกค่ะ แต่เราอาจจะได้พบกันในรูปแบบอื่น ถ้าไม่เขียนที่นี่แล้วจะส่งข่าวกันอีกทีนะคะ
....
อ้อ...แล้วก็ขอบคุณคู่กรณีทั้งหลายด้วยนะคะ ที่อุตส่าห์แวะเข้ามาอัพเดทข่าวสารอยู่เป็นประจำ ดิฉันไม่ใช่นางฟ้าค่ะ อย่ามาล่วงล้ำก้ำเกินลิมิตความเป็นมนุษย์กันง่ายๆ เกี่ยวกับ "กรณี" ทั้งหลาย ที่บางคนยังเพ่นพ่านอยู่ในโลกออนไลน์เนี่ย วันดีคืนดีก็มาปล่อยของเสียเอาไว้ที่นี่
.....
โรคจิตหรือเปล่าคะคุณ ลองถามตัวเองสิว่าใครเริ่มขึ้นมาก่อน ดิฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ก็แค่ไม่ยอมให้คุณและ"กรณี"ทั้งหลายมาละเมิดความเป็นมนุษย์ของดิฉันเท่านั้นล่ะค่ะ เลยอดเป็นนางฟ้าไปเลย
....
ดิฉัน"ถือ"เรื่องเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มากๆ ค่ะ เพราะมันเป็นสิ่งแรกที่คนเขียนหนังสือทุกคนควรตระหนัก
...
อันที่จริงดิฉันเป็นคนรักสงบ รักเด็ก(บ้าง)แล้วก็รักโลกนี้มากเลยนะคะ :) ปกติถ้ามีกรณีกับใคร ดิฉันก็จะไม่สนใจแล้วค่ะว่ามนุษย์ผู้นั้นมันจะเป็นตายร้ายดีเช่นใด ตั้งแต่เปิดบล็อกนี้มา ดิฉันเคยเขียนพาดพึงถึงคู่กรณีเก่าครั้งแรกและครั้งเดียวในช่วงเดือนแรกๆ ที่ทำบล็อก แล้วก็ลบทิ้งไปแล้วด้วย
...
ดิฉันไม่ใช่นางงามมิตรภาพนะคะ ตลอดชีวิตก็เลยไม่เคยยอมให้ใครมาทำอะไรชุ่ยๆ กับดิฉันฝ่ายเดียวแน่ๆ ใครตบแก้มซ้าย แล้วจะยื่นแก้มขวาไปให้ตบอีกข้างนั้นไม่มีทางค่ะ อย่างน้อยแก้มซ้ายของคนที่ตบดิฉันจะต้องรับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วย
....
ดิฉันก็คงเหมือนคุณ เหมือนทุกคนในโลกนั่นแหละ คือไม่อยากทะเลาะ ไม่อยากมีปัญหากับใครหรอก ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ แต่มนุษย์เราบางประเภทนี้นะคุณ บางทียอมให้มันหน่อย มันก็จะกระโดดขึ้นมาขี่คอเราทีเดียว ถ้าไม่ตวาด-ไม่โวย-ไม่วีนขึ้นบ้าง มันก็จะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ดิฉันจะยอมๆ ไปก่อน แต่ถ้ามันยังไม่สำนึก ดิฉันก็จะสวนคืนพอๆ กัน ---บางทีเราก็ต้องปกป้องตัวเองเหมือนกันนะคะ
....
ดิฉันคิดว่าในบางครั้ง การทะเลาะกัน ยอมกันไม่ได้ มันก็คือการคัดสรรพวกพ้องและเผ่าพันธุ์ตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง ว่าเราควรคบใครไว้ในชีวิตเราจริงๆ บ้าง
...
ที่หยัดยืนเป็นตัวตนเป็นผู้เป็นคนกับเขามาได้จนทุกวันนี้ ก็ผ่านการรบรากับผู้คนมาแล้วไม่น้อย แต่จะพูดไปทำไมมี คนทะเลาะกัน ต่างฝ่ายก็ว่าตัวเองดีวันยังค่ำ ในเมื่อเดินบนทางเดียวกันไม่ได้ ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวอะไรกันน่าจะดีกว่า
....
แต่ถ้ายังไม่เลิกรา ภาคมารดิฉันก็พอคุ้มครองตัวเองได้เหมือนกันนะ แล้วคุณจะลืมดิฉันไม่ลงเหมือนกันล่ะค่ะ ขอบอกไว้เลย
....
กรณีเก่ารายใดแวะเข้ามาอ่านที่นี่แล้วที่คิดว่าดิฉันหลอกด่าคุณในบล็อกนี้ สงสัยคุณจะแย่แล้วนะคะ เพราะสำหรับ"คู่กรณี"ทั้งหลาย ดิฉันถือว่าได้"คัดทิ้ง"ออกจากสารบบชีวิตไปแล้ว ไม่เปลืองเวลาเขียนถึงหรอกค่ะ
...
...
ผู้อ่านบางท่านเคยตั้งข้อสังเกตว่า บล็อกนี้มีแต่เรื่องดีๆ ไม่มีอะไรเป็นลบเลย มาถึงตรงนี้เห็นทีต้องเปลี่ยนคำพูดเสียแล้วกระมัง
...
ต้องขอโทษด้วยนะคะ ถ้าอ่านเอ็นทรี่นี้แล้วรู้สึกไม่ค่อยดี ถือเสียว่าเปิดใจกันสักที เผื่อตลอดปีที่เหลือมันจะมีอะไรดีขึ้นกว่านี้
....
อันที่จริงเป็นความตั้งใจค่ะ เวลาเขียนอะไรก็ตาม ไม่ว่าที่ไหน ดิฉันอยากเขียนแต่สิ่งที่ดีงาม คงเหมือนร็อดนีย์ สมิธ ที่ชอบถ่ายแต่ภาพสวยๆ นั่นกระมัง มันเป็นเรื่องของสไตล์ค่ะ ว่ากันไม่ได้
...
แต่โลกเราก็ไม่ได้มีแต่ด้านที่สวยงามเสมอไป บางด้านที่เราไม่อยากเห็น แต่มันมีอยู่ นานๆ หันไปมองดูมันอย่างเต็มตาบ้าง ได้พบเจอของไม่ดีบ้าง ก็คงไม่เป็นไรนะ โลกเราก็เป็นอย่างนี้เอง
....
..
อย่างไรก็ตาม สำหรับทุกท่านที่เข้ามาอ่านบล็อกนี้
ก็ขอบคุณทั้งหมด ทั้งคนที่ชอบและคนที่ไม่
[แล้วจะเป็นไรไปล่ะ ถ้าคุณไม่ชอบดิฉัน บางทีในชีวิตจริงดิฉันก็อาจจะไม่ชอบคุณเหมือนกันล่ะน่า :]
....
สวัสดีปีใหม่อีกทีค่ะ :)
...............
หมายเหตุ : ข้อความต่อไปนี้ ดิฉันเขียนตอบคอมเมนต์คุณๆ เอาไว้ข้างล่างนะคะ ขอยกมาแปะไว้ตรงนี้อีกทีหนึ่ง เผื่อหลายท่านไม่ได้คลิกอ่านทั้งหมดน่ะค่ะ
สำหรับเอ็นทรีนี้ ดิฉันขออนุญาตคุยรวมไปเลยนะคะ ตอนแรกดิฉันรู้สึกว่าตัวเองเขียนโหดไปหน่อยหรือเปล่า แต่เมื่อมาอ่านแต่ละคอมเมนต์ของแต่ละท่านแล้วทำอึ้งๆ ไปเหมือนกัน
กำลังนึกว่าน่าจะโหดๆ มาตั้งนานแล้วหรือเปล่าเนี่ย ไม่โหดคงไม่ได้รู้จักกันมากขึ้น และคงไม่ได้อ่านคอมเมนต์ดีๆ และน่าสนใจได้มากขนาดนี้
บางคอมเมนต์นี่ทำเอาน้ำตาจะไหลเลยนะคะ
บางคอมเมนต์ก็มีประเด็น มีเรื่องราวบางอย่างที่ดิฉันไม่เคยทราบมาก่อนเลย
โธ่ๆ ไม่ออกโหด คงไม่ได้อ่านแน่เลย
อันที่จริง เมื่อใครคนหนึ่งลงมือเขียนอะไรให้คนอ่านทางอินเตอร์เน็ต ก็คงทำใจกันแล้วประมาณหนึ่งแล้วนะคะ เรื่องคอมเมนต์อะไรทั้งหลายนี่
แต่บังเอิญดิฉันเป็นคนชอบการสื่อสารแบบตอบโต้ มีปฏิกริยา มีบรรยากาศมากเป็นพิเศษเท่านั้น
ถ้าบางท่านพอจะจำได้ ตอนเขียนลงนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ดิฉันก็มักจะมีหัวข้อให้คนอ่านส่งความคิดความเห็นมาร่วมสนุกอยู่เสมอ การสื่อสารแบบมีปฏิกริยาตอบโต้ระหว่างกันมันสนุก และดิฉันคิดว่ามันทำให้มีสีสัน มีมิติมากขึ้นนะคะ
ที่เลือกมาทำบล็อก ก็เพราะชอบตรงที่มันฟรี :) ใช้ง่ายดี (ไม่เหมือนเมื่อก่อน ทำเว็บไซต์ จะเปลี่ยน จะแก้ไขอะไรที ต้องเรียกหาเว็บมาสเตอร์ ยุ่งยากพิลึก) ที่สำคัญที่ชอบที่สุด คือมันมีฟีดแบคเร็วทันใจดี มันทำให้เราเองก็สนุกกับการเขียน การถ่ายทอดความคิดมากขึ้น
ส่วนตัวดิฉันเอง ถ้ายิ่งเขียนบล็อก แล้วยิ่งไม่มีใครอ่าน ยิ่งไม่มีใครคอมเมนต์ ดิฉันก็คงคิดแค่ว่าตัวเองเขียนไม่ดี เลยไม่มีใครสนใจ ดิฉันก็คงจากไปอย่างเงียบๆ ไม่กล้ากระโตกกระตากอะไร แม้แต่จะต่อว่าใครก็คงไม่กล้าหรอกค่ะ
แต่นี่มันไม่ใช่ไงคะ บล็อกนี้นะคะ ดิฉันพบว่าคนอ่านมากขึ้นทุกวัน มากจนดิฉันตกใจแน่ะ ว่าทำไมมีคนเข้ามาอ่านเยอะแยะขนาดนี้ แต่ยิ่งคนมาอ่านเยอะ แต่ทำไมคอมเมนต์ยิ่งน้อยลงทุกวัน ตรงนี้ต่างหากที่ดิฉันติดใจ ก็เลยอดโหดไม่ได้อย่างที่เห็น
ที่น่าสนใจคือ บล็อกในบ้านเราเนี่ย มันอายุไม่ค่อยยืน อย่างบล็อกดังๆ เมื่อปีที่แล้วหรือหลายปีที่แล้ว หลายๆ บล็อกก็แทบจะร้างไปแล้ว เพราะคนอ่านคนคอมเมนต์น้อยลงทุกวัน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะคะ
ไม่ว่าที่ไหนก็ตามในโลกออนไลน์นี้ เวลาคนเขียนอะไรออกไป ถ้าคนอ่านยิ่งน้อย คอมเมนต์ยิ่งน้อย คนเขียนก็คงยิ่งอ่อนใจ ยิ่งหมดแรงเขียนลงเรื่อยๆ ตามไปด้วยนะคะ
แต่ตรงกันข้าม ถ้ายิ่งเขียน ยิ่งมีคนอ่านเยอะขึ้นทุกวัน ยิ่งมีคนคอมเมนต์เยอะขึ้นทุกวัน มันก็จะยิ่งสนุก ยิ่งคึกคัก มันยิ่งทำให้คนเขียนอยากเขียน อยากอัพเดทบ่อยๆ นะคะ มันเป็นธรรมชาติมนุษย์ มันเป็นปฏิกริยาพื้นฐานของมนุษย์เราเลยล่ะค่ะ
ก็ไม่ถึงกับต้องคอมเมนต์ทุกครั้งหรอกนะคะ (มีบางท่านเปรียบเทียบเสียเซ็กซี่ไปเลย อย่างเปรียบเทียบบกับเซ็กซ์นะคะ ดิฉันคิดว่าคุณแม่บ้านคงไม่ปฏิเสธเซอร์ไพรส์หรอกค่ะ แต่ถ้ามันพอจะรู้ล่วงหน้าบ้างว่าประมาณไหน อย่างน้อยเธอก็อาจจะมีเวลาตระเตรียมตัวล่วงหน้าไว้รอท่า เช่นจัดหาโซ่แส้กุญแจมือหรือสายรัดถุงน่องมาแต่งเซอร์ไพรส์คุณบ้างก็ได้นะ ดีออกนะคะ haha :)
ไม่ถึงกับต้องเขียนคอมเมนต์ทุกครั้งที่เข้ามาอ่าน แต่ถ้าเห็นบรรยากาศมันเริ่มเฉื่อยๆ เนือยๆ ไม่ค่อยมีใครเข้ามาเขียนอะไรฝากไว้เท่าไหร่ ก็แวะเข้ามาเขียนอะไรสักหน่อยก็ยังดี คงไม่เรียกร้องมากเกินไปนะคะ
และทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ไม่ได้หมายถึงบล็อกนี้ที่เดียวเท่านั้น แต่หมายถึงที่อื่นๆ บล็อกอื่นๆ ที่คุณเข้าไปอ่านกันเป็นประจำด้วยน่ะค่ะ
ต้องขอขอบคุณทุกท่าน ทุกคอมเมนต์ ณ ที่นี้จากใจจริง อย่างน้อยก็ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าเรายังพอคบกันได้ค่ะ เพียงแต่ที่ผ่านมาอาจจะไม่ค่อยเข้าใจธรรมเนียมหรือวัฒนธรรมระหว่างกันเท่าใดนักเท่านั้น
ข้างบน ถ้ามีคำใดหนักไปหน่อย แรงไปนิด ก็ต้องขออภัยมานี้ที่นี้ด้วย
...........