และอื่นๆ อีกมากมาย :)
Last update: June 5,2009
...........
เป็นอีกวันหนึ่งที่ได้ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ได้หัวเราะ หัวเราะ หัวเราะ และคุย คุย คุย จนเมื่อยอย่างมีความสุข จนลืมๆ หลายเรื่องที่ต้องคิดเยอะๆในช่วงนี้ไปได้พักใหญ่ เป็นอีกครั้งที่ผู้คนแปลกหน้าก็สร้างความสุขให้เราได้มากมาย สมกับชื่องาน "ระเบิดแห่งความสุข"เอาเสียจริงๆ
..
รายงานโดย : กองบรรณาธิการฟรีฟอร์ม
ระเบิดแห่งความสุข บทสนทนาแห่งความเบิกบาน
สารภาพตามตรงว่าก่อนจะรู้จักตัวอักษรและตัวตนของหวงเยวี่ยน เราไม่เคยได้ยินชื่อหรือแม้แต่ผ่านตางานเขียนจากดินแดนซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของจีนอย่างไต้หวันมาก่อน จนกระทั่งเมื่องาน “ระเบิดแห่งความสุข” ถูกจุดขึ้นตอนบ่ายสองกว่าๆ ของวันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม ในซอยทองหล่อ 10 ณ ร้านหนังสือบุ๊คมาร์คของ The Third Place เราจึงเชื่อว่ามิตรภาพจากคนแปลกหน้าสามารถสร้างเสียงหัวเราะได้จริง ซึ่งเป็นงานเปิดตัวหนังสือเล่มล่าสุด”ผู้ชายเหมือนระเบิด” จากฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ โดยมีสายส่งศึกษิต เคล็ดไทยเป็นผู้ร่วมสนับสนุน
ประมาณบ่ายโมงครึ่งก่อนงานเริ่มสักครึ่งชั่วโมง แม้คนในงานไม่ถึงกับเนืองแน่นเบียดเสียดจนไร้ที่ยืน แต่ก็มากเกินพอจะอนุญาตให้ใช้คำว่าอบอุ่น หวงเยวี่ยนมาถึงงานแล้วในตอนนั้น กำลังเดินไปมาถ่ายรูปเก็บบรรยากาศด้วยท่าทีสบายๆ จนหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นช่างภาพ ตามประกบด้วยเบียร์-อนุรักษ์ กิจไพบูลทวี ผู้แปลซึ่งเปรียบเหมือนเพื่อนเพียงคนเดียวของนักเขียนชาวไต้หวันคนนี้ (เพราะเป็นคนเดียวที่พูดภาษาจีนได้) และเมื่อตรีดาว อภัยวงศ์ พิธีกรสาวปรากฏโฉมขึ้น บทสนทนาแห่งความเบิกบานจึงถึงเวลาเริ่มต้นหลังจากเลยกำหนดการเดิมมาไม่นานนัก
เหมือนเช่นงานเปิดตัวหนังสือเล่มอื่นทั่วไป ตรีดาวเริ่มต้นด้วยการกล่าวทักทายผู้มาร่วมงานพอหอมปากหอมคอก่อนเรียกเบียร์มาสอบปากคำเกี่ยวกับผลงานก่อนๆ รวมถึงแนวทางการเลือกหนังสือมาแปลของตัวเอง เบียร์ตอบว่าเลือกแปลเฉพาะภาษาจีนเพราะเป็นภาษาที่ถนัด และจะแปลเฉพาะงานที่ตัวเองชื่นชอบเท่านั้น ซึ่งงานของหวงเยวี่ยนถือเป็นหนึ่งในนั้น
และแล้วเวลาที่หลายคนรอคอยก็มาถึง เมื่อถึงคราวนักเขียนมากความสุขขึ้นเวที แน่นอนว่าเบียร์ผู้แปลต้องรับหน้าที่ล่ามจำเป็นไปในตัว ปัญหาคือไมค์ในร้านบุ๊คมาร์คมีจำกัดแค่สองตัวทำให้การถาม-ตอบและแปลต้องอาศัยการส่งไมค์กันไปมาเรียกเสียงฮาจากผู้ชมได้ไม่น้อย สมแล้วที่หวงเยวี่ยนเป็นนักเขียนเบสเซลเลอร์เพราะเล่าเรื่องสนุกมาก แค่ประสบการณ์ส่วนตัวในวัยเด็กก็สามารถสร้างรอยยิ้มให้อบอวลทั่วร้าน ที่น่าสนใจคือเขาแทบไม่เคยเข้าเรียน เอาแต่ขลุกอยู่ในห้องสมุดแต่เป็นคนเดียวในโรงเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเรียนในระบบโรงเรียนอาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเสมอไป
สำหรับใครที่อยากรู้ว่าจุดเริ่มต้นของ ‘ผู้ชายเหมือนระเบิด’ มาจากไหน เชื่อหรือไม่ว่านิยายเรื่องนี้เริ่มต้นจากหนุ่มขี้เมาในร้านเหล้าซึ่งหวงเยวี่ยนบังเอิญเจอในร้านที่เขาไปประจำ ชายคนนั้นโวยวายเสียงดังถึงความรักไม่สมหวังของตัวเอง ถ้าเป็นคนอื่นอาจบ่นด้วยความรำคาญและปล่อยให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปแต่หวงเยวี่ยนไม่ เขาพาชายคนนั้นกลับบ้านในสภาพเมามายไร้สติ รอจนเขาตื่นในตอนเช้า จากนั้นจึงลงมือสัมภาษณ์เขาอย่างละเอียดถึง 3 วัน 3 คืน ยิ่งกว่านั้นยังขยายผลไปหาข้อมูลจากฝ่ายหญิงจนกลายเป็น ‘ผู้ชายเหมือนระเบิด’ ในที่สุด
‘ผู้ชายเหมือนระเบิด’ จึงเป็นนิยายที่เกิดขึ้นจากชีวิตจริงและมีลมหายใจดำเนินอยู่ในปัจจุบัน จนเราแอบสงสัยว่าหวงเยวี่ยนมีโครงการจะลองทำภาคสองเป็นเรื่องราวต่อจากหนังสือหรือไม่
น่าเสียดายที่เวลามีจำกัดจึงไม่มีโอกาสถามเพราะหลังจากจบงานหวงเยวี่ยนต้องรีบขึ้นเครื่องไปไต้หวันตอนห้าโมงกว่าๆ แต่ก่อนไปเขาให้สัญญาว่าจะกลับมาเล่าเรื่องราวน่าสนใจของเขาใหม่ เมื่อเวลาเอื้ออำนวย
‘ผู้ชายเหมือนระเบิด’ (Happiness is coming)นิยายรักจากเรื่องจริงไม่อิงนิยาย
รายงานโดย: วรวิช ทรัพย์ทวีแสง / ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤษภาคม 2552
‘ผู้ชายเหมือนระเบิด (ความสุขกำลังจะมา)’ ฟังชื่อแล้วกระเดียดไปทางหนังสือรวมบทความแฉผู้ชาย ผลงานของนักเขียนหญิงฝีปากจัดจ้านซึ่งถูกผู้ชายทิ้งระเบิดใส่แล้วจากไป เหลือไว้เพียงความเจ็บปวดที่ฝังใจจึงต้องหาทางระบายออกมา จนกลายเป็นหนังสือแฉเรื่องจริงของผู้ชายเล่มนี้ อะไรทำนองนั้น
ก่อนที่จะเตลิดไปมากกว่านี้ต้องขอหยุดจินตนาการเกี่ยวกับชื่อไว้เพียงเท่านี้ เพราะนี่คือชื่อของนิยายรักสัญชาติไต้หวันผลงานของนักเขียนหนุ่มนามว่า ‘หวงเยวี่ยน’ แต่หากจะขนานนามเขาให้ถูกต้องสำหรับการทำงานในหนังสือเล่มนี้ เขาคือ ‘ผู้บันทึก’ มากกว่า เนื่องจากเรื่องราวและเหตุการณ์ในหนังสือเล่มนี้ถูกถอดความมาจากเรื่องจริงถึง 95 เปอร์เซ็นต์มีเพียงชื่อตัวละครบางตัวเท่านั้นที่เจ้าตัวอยากให้ปกปิดไว้ด้วยนามแฝง
เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้เขาได้มาจากเด็กหนุ่มในบาร์แห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังเมาแอ๋พลางสบถสาบานโอดครวญถึงความเลวร้ายอันน่าอัปยศอดสูว่า ตนสมควรชดใช้กรรมที่ตนเองได้ก่อไว้ด้วยชีวิต หวงเยวี่ยนซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลเกิดความสงสัยจึงซักถามถึงเรื่องราวที่เป็นต้นสายปลายเหตุ
เด็กหนุ่มผู้นั้นเล่าเรื่องราวของเขาด้วยอาการเมาโดยที่ไม่ทราบว่า กำลังส่งเรื่องราวนั้นให้กับนักเขียนผู้กำลังหาพล็อตเรื่องดีๆ เพื่อเขียนนิยายสักเรื่อง ซ้ำยังเป็นนักจิตบำบัดผู้รับฟังปัญหาของผู้อื่นมานักต่อนักแล้ว เขายังคงระบายความกลัดกลุ้มอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมาถึงตอนที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มพอดิบพอดีเด็กหนุ่มผู้นั้นก็เมาสลบคาโต๊ะด้วยพิษสุรา
หวงเยวี่ยนตัดสินใจพาเด็กหนุ่มกลับไปยังที่พักของตนเองและหวังว่าเมื่อเขาตื่นขึ้นจะได้รับฟังเรื่องราวที่กำลังเข้มข้นนั้นต่อ แต่เด็กหนุ่มกลับจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่บาร์เมื่อคืนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แถมยังระแวงว่าที่หวงเยวี่ยนพาเขากลับมานั้นได้ทำมิดีมิร้ายเขาไปแล้วหรือเปล่า แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่เขาโวยวายเสียงดังจนคนในร้านจะพากันรำคาญ เด็กหนุ่มจึงเข้าใจสถานการณ์ของตนเอง
ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเล่าเรื่องราวชีวิตของเขาโดยละเอียดจนเมื่อทราบในภายหลังว่าหวงเยวี่ยนเป็นนักเขียนจึงยินดีให้ถ่ายทอดเรื่องราวของเขาออกมาเป็นหนังสือ เมื่อหวงเยวี่ยนฟังจบเขาตัดสินใจที่จะแกะรอยเบาะแสจากเรื่องราวนั้นเพื่อตามหาผู้หญิงที่เกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มจนเจอ และเรื่องราวอีกครึ่งหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ก็ออกมาจากปากของเธอ(ที่มาของเรื่องราวเหล่านี้ถอดความจากคำสัมภาษณ์ของหวงเยวี่ยนในวันเปิดตัวหนังสือภาคภาษาไทย จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ฟรีฟอร์ม โดยมีคุณ ‘อนุรักษ์ กิจไพบูลทวี’ ผู้แปลหนังสือเล่มนี้เป็นล่าม)
เรื่องราวมะรุมมะตุ้มของความรักที่เกิดขึ้นในโลกยุคดิจิตอลเรื่องนี้ ความบังเอิญต่างๆ ที่เกิดขึ้น หากเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นผู้อ่านคงส่ายหน้าให้กับผู้ประพันธ์ว่า เป็นนักเขียนที่ช่างจินตนาการถึงเรื่องความรักที่เป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย ไม่ต่างอะไรกับความเพ้อฝันของคนที่จมอยู่ในจินตนาการอันลวงตาของความรักจนขาดสติ ทว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง จึงทำให้ผู้อ่านมองนิยายหรือบันทึกความจริงเล่มนี้ด้วยสายตาที่ต่างออกไป ทำให้ติดตามเรื่องราวแบบอยากได้ใคร่รู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป สุดท้ายแล้วเรื่องทั้งหมดจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน
แต่ที่แตกต่างจากนิยายเรื่องอื่นๆ ก็คือ ผู้อ่านย่อมเกิดความติดค้างสงสัยหลังจากที่อ่านจบว่า ชีวิตจริงของบรรดาผู้คนที่อยู่ในหนังสือนั้นหลังจากสิ้นสุดบรรทัดสุดท้ายที่หวงเยวี่ยนบันทึกไว้แล้วได้ดำเนินต่อไปอย่างไร ไม่ต้องเอ่ยอ้างถึงอารมณ์ความรู้สึกที่บรรจุอยู่ในหนังสือเล่มนี้ เพราะมันก็ผสมปนเปทั้งสุข ทุกข์ เศร้า เหงา รัก คิดถึงคะนึงหา เจ็บปวด บอบช้ำไม่เกินเลยความจริงของชีวิตไปได้เลย
ภาษาเขียนที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนและการแปลประโยคบทสนทนานั้นได้ถอดความออกมาเป็นคำแสลงและคำพูดดิบๆ ที่เราๆ ท่านๆ ใช้กันเป็นกิจวัตรในหมู่เพื่อนฝูง จึงทำให้เห็นภาพตัวละครหลักๆ ซึ่งยังถือว่าอยู่ในช่วงอายุวัยรุ่นได้ชัดเจน และด้วยความที่เด็กหนุ่มเป็นนักศึกษาปริญญาโทสาขาปรัชญา เขาจะมีแง่คิดบางอย่างที่ทำให้ผู้อ่านได้เก็บเอาเป็นข้อคิดหรือคำคมติดตัวกลับไปไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
สรุปแล้วหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องรักน้ำเน่าประโลมโลก แต่ยังเป็นดั่งกระจกบานใหญ่ส่องสะท้อนสังคมอันสลับซับซ้อนและไม่สมประกอบ ที่มักเล่นตลกกับชีวิตและความรู้สึกของผู้คนในสังคมจนบอบช้ำไม่ต่างจากเรื่องราวในนิยายที่ใครๆ ว่าน้ำเน่าเลย
…คนอ่าน