หากเรามีเวลาเฝ้าดูชีวิตนานพอ
เห็นบางสิ่งผ่านมาผ่านไปจนคุ้นใจ
จะพบว่า..บางครั้ง
ยังมีบางสิ่งตกค้างหลงเหลือไว้
ให้เราหวนระลึกถึง
ณบางจุดของกาลเวลาที่เราเคยพบกัน
มันยังเป็นช่วงเวลาแสนดี
ณ ที่นั้นต้นไม้แห่งความทรงจำอวดใบดกสะพรั่ง
มีสนามหญ้าซึ่งเขียวขจีอยู่ตลอดเวลา
และไม่เคยมีใบไม้สักใบหล่นร่วงลงจากต้น
หากฉันมีเวลาเฝ้าดูชีวิตนานพอ
อยากให้ภาพนั้นเขียวชอุ่มอยู่ในความทรงจำตลอดไป
อยากให้เธอยังอยู่ในภาพนั้น..
............
ค่ำวันก่อน พิธีศพของ
คุณไมเคิล ไรท บุคคลสำคัญอีกท่านหนึ่งในแวดวงนักคิดนักเขียน ทำให้เพื่อนพ้องน้องพี่ในวงสนทนาสุดสัปดาห์ของเราซึมไปเยอะ
...
อาการหงอยของผู้อาวุโสทำให้ฉันรู้สึกใจหาย เมื่อได้ยินว่าพี่คนหนึ่งรู้สึกเจ็บที่ท้องซีกขวา แล้วตั้งใจว่าถ้าเป็นอะไรมากก็จะขอตายไปเลย แต่จะไม่ขอยอมให้หมอวินิจฉัยอาการเบื้องต้นอย่างเด็ดขาด เพราะไม่อยากให้ใครมาห้ามกินโน่นกินนี่ ให้อึดอัดใจ
...
พี่อีกคนก็บอกว่า เขาอยากจะอยู่บนโลกนี้อีกแค่สองสามปี
..
ผู้อาวุโสอีกคนของเราก็เล่าเรื่องฮีโร่ของฉันคนหนึ่ง ที่มาปรึกษาเรื่องการฆ่าตัวตาย
...
ฉันฟังเรื่องราวเหล่านั้นแล้วก็เศร้าๆ ขำๆ โดยเฉพาะเมื่อพี่อีกคน เล่าเรื่องนักเขียนรุ่นใหญ่ท่านหนึ่ง ถูกผู้อื่นเหยียดหยาม ในข้อหาว่า "กินเหล้าจนตาย"
..
เมื่อฉันบอกไปว่า"กินเหล้าตายเนี่ย ถือว่าตายดีนะพี่ เรียกว่าตายแบบมีความสุข น่าจะดีกว่านอนป่วยตายไปเองเป็นไหนๆ "
...
ปรากฎคุณพี่ชอบใจ หัวเราะก๊าก หันมาตบไหล่บอกว่า"กู๊ดแอดติจูดโว้ย! ต่อไปนี้พี่จะได้กินเหล้าอย่างสบายใจซะที"
......
ฉันมองเหล่าผู้อาวุโสขำๆ
แล้วก็ต้องถอนใจอีกครั้ง
...
ไม่แปลกหรอกที่ความตายของคนใกล้ชิดจะทำให้พวกเขารู้สึกหวั่นไหว เพราะแม้แต่ตัวฉันเองที่วัยยังห่างกันหลายรอบก็ยังหวั่นไหว
...
หวั่นไหวว่าถ้าเกิดพวกเขาเหล่านี้ต้องจากฉันไปจริงๆ
ฉันจะเป็นไง
...
ชีวิตฉันคงว่างเปล่าสิ้นดี
มีปัญหาเรื่องทำหนังสือ แล้วจะปรึกษาใครล่ะ ...ใคร :)
...
แต่ก็เลิกกังวลเป็นปลิดทิ้ง
เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่า จะเอาแน่นอนอะไรกับชีวิต
เพราะบางที ฉันอาจจะไปก่อนพวกเขาก็ได้นิ ...
ชีวิตมันบ่แน่หรอกนาย!
...
ความตายที่มาเยือน และอาจจะกำลังเดินทาง ทำให้ฉันนึกถึงบทกวีบทนี้ของ Conrad Aiken ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ขลุ่ย หลังจากที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งของฉันแล้วก็ลืมเลือนมันหลายปีแล้ว
...
คนเขียนหนังสือก็เป็นอย่างนี้ล่ะนะคะ คุณอย่าถือสาเลย ถ้าวันหนึ่งมาถามถึงเนื้อหาของหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้กับฉัน แล้วปรากฏว่าฉันจำอะไรไม่ค่อยได้เลย
...
หรือบางทีจำได้ แต่ฉันก็ไม่บอกคุณหรอก ว่าความจริงมันเป็นอย่างไร บางเล่มมีความจริงร้อยละแปดสิบ บางเล่มมีร้อยละยี่สิบ ...แต่ความจริงของคนเขียนมันสำคัญตรงไหนละคะ ความรู้สึกของคุณ ที่มีต่อสิ่งที่คุณได้อ่านนั่นต่างหากล่ะ ที่สำคัญ ว่ามั้ย
..
เขียนหนังสือนี่ก็ดีอย่างหนึ่ง เหมือนเรามีมนต์วิเศษ ที่สามารถแช่แข็งความทรงจำต่างๆ เอาไว้ได้โดยไม่เสื่อมสภาพ มันอยู่อย่างไรก็อย่างนั้นเสมอมา แม้ว่าคนเขียนจะเปลี่ยนไปแล้ว หรือตายไปแล้ว
...
แต่เอาเถอะ ฉันอาจจะลืมเหตุการณ์ หรือที่มาของมันไปบ้าง เพราะบางอย่างมันก็ไม่สมควรจดจำเท่าไหร่ แต่ฉันก็มักจะไม่ลืมความรู้สึกสุข เศร้า หรือใดๆ ที่ทำให้ตัวเองขีดเขียนมันขึ้นมา
..
ฉันชอบบทกวีบทนี้ เหมือนที่เขียนตอบคุณข้างล่างๆ ไปนั่นแหละว่า ความรู้สึกมันมีสีหม่นเจืออยู่บ้าง ตามประสาความทรงจำ แต่มันก็สวยงาม
...
ย้ำว่าสวยงามจริงๆ
...
ฉันคิดว่าสิ่งนี้ ความรู้สึกเหล่านี้แหละ ที่ทำให้การเกิดมาบนโลกนี้ของเรามีคุณค่า ทำให้รู้สึกว่าชีวิตคนเรามีความหมาย
...
เพราะสมองเรามีรอยหยัก เพราะหัวใจเราซับซ้อนหลายมิติ เราคิดฝันได้มากมาย รู้สึกรู้สาได้มากมาย บางทีชีวิตก็ช่างมหัศจรรย์ ว่าทำไมเราคิดได้เพียงนั้น ฝันได้เพียงนั้น หรือรู้สึกรู้สากับมันได้ถึงขนาดนั้น
..
นั่นแหละสิ่งที่เรียกว่าหัวใจ
ซึ่งบางครั้งมันก็มีชื่อเสียงเรียงนามที่ใหญ่โต
ว่า "ชีวิต"
...................
..............
ภาพประกอบ A dead leaf by yukiroad
"บันทึกใบไม้" ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 24 มิถุนายน 2002
........................................