"God Bless You"
พระเจ้าประทานพรให้
แต่กฏหมายปกป้องคุณ?
[หวังว่า...]
................
ฉันเพิ่งกระทำการใหญ่มาก...นั่นคือ"กล้า"เอ่ยปากชักชวนคนรักให้ลาออกจากงานประจำของตัวเอง แล้ว.... "มาดูแลบริษัทให้ฉัน ...ฉันจะได้มีเวลาไปเขียนหนังสือ"
...
คนถูกชวนอึ้งไปหลายวิ ฉันเองพูดไปแล้วก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังชวนผู้ชายไปจดทะเบียนสมรสชอบกล สักครู่ฝ่ายนั้นจึงตอบมาว่า "เอางี้ก็แล้วกัน ตอนนี้มีงานอะไรให้ช่วยก็ส่งมาเลย เดี๋ยวช่วยทำ"
...
ฉันถอนใจ ไม่รู้จะบอกอย่างไร เพราะงานที่อยากให้ช่วยจริงๆ นั้น มันไม่ได้มีเป็นหน้าๆ เป็นชิ้นๆ หรือเล่มๆ ให้ช่วยเหมือนที่เคยเอ่ยปากให้ช่วยเหลืออยู่เนืองๆ
....
ในรอบหลายปีที่ผ่านมา คนๆนี้ก็ช่วยเหลือจนลุล่วงทุกครั้ง โดยที่งานประจำของเจ้าตัวเขาก็ไม่ได้กระทบกระเทือน ไม่เคยต้องคิดชวนให้ลาออกแต่อย่างใด
...
แต่งานนี้มันไม่ใช่ มันไม่เหมือนทุกคราว
...
คราวนี้บางทีเหมือนว่าไม่มีอะไรให้จับต้องได้เลยในความเป็นจริง แต่มันก็ทำให้แต่ละวันของเราวุ่นวาย และเหน็ดเหนื่อยวายป่วง
..
มันเป็นงานเกี่ยวกับคน ที่แปลว่าปนกันให้ยุ่ง คนที่ดีจังหวานจ๋อยเมื่อวานนี้ แต่วันดีคืนดี ยังไม่ทันข้ามคืนดี ก็มีอาการหน้าเหลืองหน้าเขียวกราดเกรี้ยวไปเสียทุกเรื่อง จนเราต้องถามตัวเองว่า "ตรูทำอะไรผิดฟระเนี่ย"
....
ที่ร้ายกาจจนอาจจะทำให้ตัวเราและการงานของเราแทบวายป่วงเอาได้ง่ายๆ ก็อาจจะเป็นบางคนที่ว่าจ้างเราทำงานอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยจนเสร็จเรียบร้อยดี
....
แต่พอส่งบิลเรียกเก็บเงินตามที่ลงนามตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ กลับกลายเป็นอีกคน อีกกริยา ที่ตรงข้ามกับคำว่าถ้อยทีถ้อยอาศัย ...ประหนึ่งหน้ามือกับหลังเท้า
....
ด้วยความที่ผู้คนบางประเภทในโลกเราเป็นเช่นนี้ หลายๆ วันมานี้ ฉันจึงมีเหตุให้ต้องพูดคุยกับคุณพี่ทนายนักกฏหมายประจำชมรมวันศุกร์ของเราอยู่บ่อยครั้ง บ่อยกระทั่งว่าคุยเช้าคุยเย็น ดึกๆ บางทียังต้องต่อสาย
...
"ถ้าเค้าไม่จ่าย อาทิตย์นี้เรายื่นเรื่องฟ้องศาลเลยนะคะพี่ หนูไม่กลัวหรอก ถึงไหนถึงกัน เสียเวลาเป็นปีก็ยอม ตัวงานและเอกสารทุกอย่างถูกต้อง จู่ๆ จะมาเบี้ยวเราได้ไง ยิ่งเป็นชาวต่างชาติที่มาหากินในประเทศเรา แล้วมาทำกับเราอย่างนี้ ยังไงก็ยอมไม่ได้"
...
คนเก่าๆ เขาเคยบอกว่า "กินขี้หมาดีกว่าเป็นคดีความ" ฉันยังจำขึ้นใจ เกิดมายังไม่เคยขึ้นศาล ไม่เคยต้องเป็นคดีความกับใคร ถ้าจะเป็น"ครั้งแรก"กับรายนี้ก็น่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดี
...
มันเป็นความตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วที่เราจะทำธุรกิจการงานที่เรารักด้วยความถูกต้องเที่ยงธรรม ไม่ว่าจะในแง่ใด เราเคยปฎิเสธการทำงานให้ลูกค้าบางราย ที่เราเห็นว่าพฤติกรรมของเขามันไม่สอดคล้องกับงานเพื่อสังคมที่เขากำลัง(แสดงว่าเขา)ทำ ทั้งๆ ที่บริษัทเราในตอนนั้นก็เพิ่งก่อตั้ง
...
ในโลกธุรกิจนั้นมันยากมากๆ กับการจำกัดกรอบตัวเองขนาดนั้น
แต่เราก็อยากลอง อยากประคองตัวไปให้ได้
...
ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีปัญหาที่คาดไม่ถึงเกี่ยวกับการทำงานโผล่ขึ้นมาอย่างนี้ ฉันจึงมั่นใจในความถูกต้องของฝ่ายเราเต็มร้อย ไม่ว่าจะสิ่งที่เกิดขึ้นจริง,ความเป็นเหตุเป็นผล รวมถึง"เอกสาร"ที่เราจัดทำกันอย่างรอบคอบและครบถ้วนจนแทบจะยกขึ้นมาจูบได้บ่อยๆ เลยทีเดียว
....
น้องในทีมเราบางคนก็เพิ่งจะได้เห็นว่า ที่พี่ๆจุกจิกจู้จี้เรื่องการทำงานเอกสารมาก จนบางทีเหมือนพี่ๆเป็นโรคจิตโรคประสาทกันไปหมดนั้น ก็เพราะต้องการให้มันคุ้มครองเราได้ด้วยประการฉะนี้
...
ผู้คนบางประเภทที่เราพบเจอในโลกการทำงาน ทำให้เราถึงกับต้องมี"เซฟเฮาส์"สำหรับเก็บเอกสารสำคัญโดยเฉพาะเลยทีเดียว
...
ความรอบคอบซึ่งอาจจะเป็นแค่ความวิตกจริตของคนทำงานตัวเล็กๆที่สตุ้งสตางค์ก็ไม่ค่อยมีกับเขาหรอก แต่จับพลัดจับผลูมีเหตุให้ต้องจับงานใหญ่เกินตัวอยู่เรื่อย จึงทำให้เราขาขวิดหัวทิ่มกันเกือบตลอดปีแรกๆที่ก่อตั้งบริษัท หรือความรัดกุม(ที่อาจจะแปลว่ามองโลกแง่ร้ายก็ได้) จึงทำให้หลักฐานเอกสารทุกอย่างของเราค่อนข้างดูดี ขนาดพี่ทนายเห็นแฟ้มเอกสารที่เราจัดเตรียมให้แล้วยิ้มแป้น....
...
"เดี๋ยวนี้เอ็งมาชมรมวันศุกร์ทีไร เอ็งคุยกับทนายอย่างเดียวเลยนะ"พี่บรรณาธิการใหญ่เคยพูดล้อคราวหนึ่ง เมื่อเห็นฉันกับพี่ทนายชักชวนกันแยกโต๊ะมาคุยกันสองต่อสอง
......
"ต้องใช้ทนายแบบนี้ แสดงว่ามันกำลังจะรวย" คุณพี่บรรณาธิการใหญ่(กว่า)ซึ่งเป็นประธานชมรมเราพูดเปรยๆ "จากประสบการณ์ผมนะ ผมว่าไอ้นี่มันมีสิทธิ์รวย ยิ่งต้องใช้ทนายอะไรอย่างนี้ด้วย ใช่เลย"
...
ตอนนั้นฉันฟังแล้วยังร้องลั่น
"เฮ้ย!...พี่ ไม่เอาว่ะ ไม่เอา"
แบบนี้ไม่เอาเลยนะ
ไม่ต้องรวย ไม่ต้องใช้ทนาย
จะสบายใจกว่านี้เยอะ
....
ฉันคิดอย่างนั้นจริงๆนะ
...
พี่บรรณาธิการใหญ่(กว่า)แกอาจจะคิดจริงๆ เหมือนกัน ว่าบริษัทของเราน่าจะประสบความสำเร็จกับเขาบ้างประมาณหนึ่งนะ haha ในการจดทะเบียนเพิ่มทุนบริษัทปีนี้ พี่เขาก็มอบเงินก้อนใหญ่ซื้อหุ้นบริษัทเราด้วย เพิ่งไปจดทะเบียนที่กรมการค้ากันเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเอง
...
แต่ฉันว่าที่พี่เขาซื้อหุ้น ก็คงไม่ได้คิดรวยหรือกำรี้กำไรจากเราอะไรหรอก แต่พี่เขาคงอยากช่วย อยากสนับสนุนพวกเราให้ทำงานต่อไปได้บ้างเท่านั้นเอง...ซึ้งมะ ซึ้งมะ :)
...
กลับมาเรื่องที่น่ากลุ้มใจของเราอีกที
....
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป หนึ่งเดือนผ่านไป สองเดือนผ่านไป สามเดือนผ่านไป สี่เดือนผ่านไป จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีเสียงกริ๊งกร๊างมาตามสาย
...
"ตกลงว่าฝ่ายนั้นเค้ายอมจ่ายให้เราแล้วนะ" คุณพี่ทนายแจ้งข่าวดีในเย็นย่ำวันหนึ่ง "เค้าบอกว่า เค้าเองก็ไม่อยากให้ทางเราฟ้องร้องเขา เค้าก็เลยจะยอมจ่ายให้เราแล้วล่ะ จะจ่ายให้เลยทันที"
...
ฉันวางสายแล้วก็ถอนใจเฮือกใหญ่
...
เออว่ะ เรื่องของเรื่องมันก็ต้องลงเอยอย่างนี้อยู่แล้วนี่ ก็ความถูกต้องมันเป็นอย่างนี้ ความจริงมันเป็นอย่างนี้...ความชอบธรรมมันเป็นอย่างนี้
....
แล้วทำไมต้องทำให้เราปวดกระโหลกมาตั้งสามสี่เดือนด้วยล่ะโว้ย!
....
พระเจ้าเกรงว่าลูกจะมีความสุขเกินไปใช่ไหม
ลูกเบื่อเหลือเกินแล้วพระเจ้าเอ๋ย
ขอให้พระองค์ทดสอบลูกแบบอื่นเถอะ
แบบนี้มันโหดเกินไป ลูกทนไม่ไหวแล้วโว้ย!
...
กฏหมายยังช่วยเหลือลูกมากกว่าพระเจ้า
ก็ช่วยไม่ได้นะ ที่ตอนนี้ลูกเชื่อมั่นในกฏหมายมากกว่าพระเจ้าแล้วว่ะ!
....
ฉันนึกถึงโจ๊กฝรั่งเรื่องหนึ่ง เมื่อมีคนพูดว่า "ขอให้พระเจ้าอำนวยพรให้คุณด้วย" (God Bless You) คนรับพรรายนั้นสวนกลับว่า "ไม่ต้องเลย,ขอบคุณมาก!" (No thank you!)
...
"No thank you!"
"No thank you!"
"No thank you!"
.....
ขอยืมพูดบ้าง แล้วก็จำเอาไว้เลย
ฮึ่ม!
...
C...
วันนั้น เมื่อรู้ว่าได้เงินก้อนใหญ่กลับคืนบริษัท แทนที่จะเริงร่าดีใจ ฉันกลับรู้สึกห่อเหี่ยวใจอย่างบอกไม่ถูก เครียดมากกว่าทุกครั้ง เซ็งชีวิตมากกว่าทุกครั้ง จนดึกดื่นค่อนคืนก็นอนไม่หลับเลย
.....
คิดแต่ว่าตรูจะเอาไงกับชีวิตตรูดีฟระเนี่ย
ตรูเบื่อเรื่องงี่เง่าพวกนี้เต็มทีแล้วโว้ยยยยยยยยย!
......
คืนนั้นเองที่ฉันกดโทรศัพท์หาคนรักกลางดึก แล้วบอก"เธอลาออกจากงานเถอะ แล้วมาดูแลบริษัทให้ฉัน" ก็โชคดีที่ฝ่ายนั้นไม่ได้แปลกใจกับอาการ"ของขึ้น"ของฉันเท่าใดนัก นอกจากพูดปลอบใจแล้วก็ช่วยคิดหาทางออก ทางโน้นทางนี้ เท่าที่จะคิดได้
...
"เอางี้ไหม"เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทางว่าจะอยากลาออกจากงานประจำของตนแต่อย่างใด ฉันจึงทะลุกลางปล้องขึ้นมาว่า"ถ้าเธอไม่อยากออกจากงานของเธอ ฉันจะชวนน้องจุดจุดจุด เข้ามาช่วยดูแลบริษัทแทนดีไหม"
...
อีกฝ่ายฟังแล้วจึงสวนมาทันที "ทำไมเธออยากชวนคนสนิทๆ มาทำงานด้วยนะ เดี๋ยวก็มีปัญหากัน เดี๋ยวก็เสียเพื่อนเสียน้องกันหรอก อย่าดีกว่า จ้างคนอื่นมาทำดีกว่า อย่าเป็นคนกันเองเลย"
...
อ๊า ได้ไง
....
คิดแบบนี้ เป็นการคิดสวนทางกันอย่างสิ้นเชิงเลยนี่หว่า
....
ม่ายช่ายยย .... ม่ายช่าย
ไม่ใช่อย่างนั้น
...
ฉันชอบทำงานกับเพื่อน กับคนสนิท ถึงกล้าคิดการใหญ่กับคนรัก ฉันชอบทำงานกับคนใกล้ชิดคุ้นเคยที่เรารู้จักรู้ใจกันดี การทำงานกับคนที่จริงใจต่อกัน ถ้ามันเวิร์ค มันจะทำให้ชีวิตเราใกล้ชิดผูกพันกันแนบแน่นมากกว่าอย่างอื่น ...บางคนอาจจะไม่ยอมเสี่ยงอะไรแบบนี้ แต่ฉันไม่กลัวหรอก ...ฉันยอมแลก
...
ฉันไม่รู้ว่าในแวดวงอาชีพอื่นเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าทุกวันนี้ฉันไม่ได้ทำงานเพราะว่ามันเป็นอาชีพ แต่ฉันทำงานพวกนี้เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
...
งานของฉันทุกวันนี้ มันอาจจะเป็นความจำเป็นของชีวิต เหมือนน้ำ เหมือนอาหาร เหมือนอากาศ อย่างที่คนชอบพูดกัน
...
การงานสำหรับฉัน มันเป็นทั้งความจริง เป็นทั้งความฝัน เป็นธุรกิจ เป็นครอบครัว เป็นกัลยณมิตร เป็นชีวิตจิตใจ เป็นทั้งอดีตและปัจจุบัน เนื้อแท้ตัวตนและสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของฉัน ล้วนอยู่ในงานทั้งสิ้น
...
ฉันไม่เคยแยกงานออกจากชีวิตเลยแม้แต่ครั้งเดียว!
...
ในเมื่อชีวิตเป็นอย่างนี้ การงานเป็นอย่างนี้
ทำไมฉันต้องอยากทำงานกับ"คนอื่น"ด้วยล่ะ!
....
อาจจะด้วยสาขาวิชาชีพ การงานและชีวิตของฉันจึงเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่นเช่นนี้ ฉันมีมิตร มีเพื่อนร่วมงาน มีน้อง มีพี่ มีครอบครัว ที่ผูกพันกันไว้ด้วยการงานในชีวิตประจำวันของเราอย่างแน่นแฟ้น
...
อาจจะมีบ้างที่การงานของเรา ทำให้"คนเคยสนิท"ของเรา"กลายเป็นอื่น" ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา เราเป็นอื่นบ้าง เขาเป็นอื่นบ้าง ก็ว่ากันไป ฉันอาจจะเคยเสียใจบ้างที่ความสัมพันธ์ต้องจบลงเช่นนั้น
....
เสียใจบ้าง แต่ฉันไม่เคยเสียดาย
...
เพราะนั่นคือวิธีการที่โลกกลั่นกรองคัดสรรผู้คนให้เรา
เพื่อให้เรารู้ว่า เราควรจะมีใครเอาไว้ในชีวิตบ้าง
ซึ่งผู้คนในชีวิตแท้จริงของเรา มันไม่เยอะหรอก
ไม่จำเป็นต้องเยอะ ไม่อยากให้เยอะ (เดี๋ยวดูแลไม่ทั่วถึงค่ะ)
....
จากประสบการณ์ทำงานในแขนงวิชาชีพนี้ ฉันพบว่าคนที่"ชุ่ย"กับงาน ก็มักจะ"ชุ่ย"กับเรื่องอื่นๆ ของชีวิตเกือบทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้กระทั่งความสัมพันธ์ บางทีชุ่ยๆ พวกนี้อาจจะฟลุคประสบความสำเร็จขึ้นมาบ้าง ก็งั้นๆน่ะนะ ไม่เท่าไหร่หรอก บางทีมาวูบๆก็ล้มหายตายจากไปไหนไม่รู้แล้ว
...
ที่น่าประหลาดใจมากก็คือ ฉันพบว่าบางคน"ชุ่ย"กับหลายเรื่องของชีวิต แต่เขาเป็นคนประณีตและเอาใจใส่กับ"งาน"เหนือสิ่งอื่นใด บางคนที่ว่านี้กลับไม่ได้เป็นคน"ชุ่ย"แต่อย่างใด
....
หากแต่เป็นคนที่น่าเคารพนับถือ เพื่อนพ้อง รุ่นพี่รุ่นน้องรักใคร่ เราเองก็สามารถยกมือไหว้เขาและสามารถคบหากับเขาได้อย่างสนิทใจเป็นเวลานานนับสิบๆ ปี
...
"ค่าของคนอยู่ที่ผลงาน" มันจริงนะ อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าครึ่งแหละ ที่เหลืออาจจะอยู่ที่องค์ประกอบอื่นๆ เช่นธาตุแท้สันดาน การอบรมเลี้ยงดูของครอบครัวหรือกระทั่งระดับจริยธรรมใ
...
งานกับชีวิตฉันมันเกี่ยวพันกันแบบนี้
....
แล้วชีวิตกับการงานของคุณล่ะ มันเกี่ยวพันกันขนาดไหน
…คนอ่าน