last update: Jan 15-2010
เที่ยวเมืองน้อย
อีกซอกมุมเล็กๆ น้อยๆ ของปาย
...
เช้าวันที่ 13 มกราคม 2553 พวกเราสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ เพราะเรามีกำหนดออกเดินทางไปเที่ยวเมืองน้อยกัน โดยนัดเจอกันที่หน้าร้านตอนแปดโมงเช้า
...
ฉันตั้งเวลาปลุกไว้ 7 โมงเช้า แต่กว่าจะลุกออกจากที่นอนไปอาบน้ำอาบท่าได้ ก็ปาเข้าไปเจ็ดโมงครึ่ง กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็แปดโมงพอดี แต่กระนั้น ฉันใช้เวลาขี่จักรยานออกจากบ้านไปยังจุดนัดหมายของเราโดยใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้นเอง
...
ปายก็น่ารักน่าอยู่อย่างนี้แหละ
เมืองมันเล็กนิดเดียว
ไปไหนมาไหน ก็ใช้เวลาแค่นิดเดียวเท่านั้น
นี่คือสิ่งที่กรุงเทพฯให้ฉันไม่ได้
...
สมาชิกร่วมทริปของเราก็ตื่นเช้าเอาการ นึกว่าฉันจะมาถึงจุดนัดหมายเป็นคนสุดท้าย แต่ไม่ใช่แฮะ กลายเป็นน้องปิ๊คมาถึงเป็นคนสุดท้าย ส่วนน้องออมค่อนข้างเซอร์ไพรส์ ฉันไม่คาดหวังนักว่าเธอจะมาด้วยกัน เพราะเธอเป็นนักร้อง นอนดึก ตื่นสาย การตื่นเช้าขนาดนี้อาจจะหนักหนาเกินไปสำหรับเธอ
...
แต่ผิดคาดเหมือนกัน
เมื่อไปถึงจุดนัดหมาย ฉันเห็นออมยืนรออยู่กับทีมเราอยู่ก่อนแล้ว
..
อ๊ะอ๊ะ ใช้ได้ ใช้ได้
...เมืองน้อย เมืองน้อย
ทำไมต้องเมืองน้อย
........เมืองน้อย หรือหมู่บ้านศาลาเมืองน้อย เป็นเมืองเก่าของปาย อยู่ห่างจากตัวเมืองปายประมาณ 30 กิโลเมตร เป็นชุมชนโบราณที่เคยปกครองโดยเจ้าเมืองที่โดนเนรเทศมาจากเมืองเชียงใหม่ .
.ตอนหลังเมื่อมีการย้ายเมืองมาอยู่ที่เวียงเหนือ-เวียงใต้เช่นในปัจจุบันนี้ เมืองน้อยกลายเป็นเมืองร้างอยู่เกือบสองร้อยปี ก่อนที่จะมีชนเผ่าต่างๆ เข้าไปอยู่ อาทิ กระเหรี่ยง มูเซอ และลีซู อย่างทุกวันนี้
..คลิกอ่านเกี่ยวกับเมืองน้อย..ถึงแม้เมืองน้อยจะอยู่ห่างจากตัวเมืองปายไม่มากนัก แต่ถนนหนทางส่วนใหญ่ยังเป็นดินลูกรัง แคบ และสูงชัน บางช่วงแคบมาก แม้แต่รถมอเตอร์ไซค์สวนมายังต้องจอดหลบไปก่อน
...เรื่องที่จะมาเที่ยวในฤดูฝน คงต้องลืมไปก่อน
เพราะขนาดมาหน้าแล้งอย่างนี้ ยังน่าหวาดเสียวพิลึก
เป็นถนนดิน ที่มีหินโผล่ตะปุ่มตะป่ำ
ตอนเข้าโค้งหักศอกแล้วรถตกหลุมเนี่ย น่ากลัวที่สุด
เพราะเหมือนหัวรถทำท่าจะทิ่มลงไปข้างล่างอยู่เรื่อย
น่ากลัวชะมัด
..วันนี้ พี่โชเฟอร์ของเราก็บ่นอยู่เรื่อยๆ
ว่า "ไม่รู้ขอบถนนอยู่ตรงไหนแน่"
รู้แต่ว่ามองจากหน้าต่างรถออกไป เห็นทิวเขาน้อยใหญ่ลิบๆ อยู่เบื้องล่างนั่นแหละ
......ในแผนที่หรือหนังสือนำเที่ยวทั้งไทยเทศ จะมีรายละเอียดเกี่ยวกับเมืองน้อยน้อยมากๆ การเดินทางมาเมืองน้อยจึงเป็นการ "ลุยเอาดาบหน้า" จริง เพราะแทบจะไม่มีทุนรอนข้อมูลใดๆ ติดตัวมาเลย
..........ตลอดสองข้างทางมีแต่ต้นไม้ต้นหญ้าป่าเขา นานๆ จะมีรถสวนมาที แถมไม่ค่อยมีป้ายบอกทางอีกต่างหาก หลายครั้งที่พี่โชเฟอร์ต้องจอดรถ เพื่อดูว่า เราจะต้องมุ่งหน้าไปทางไหน
...
..แถมโชคร้าย มีป้ายบอกทางก็จริง แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเรามากมาย
เพราะป้ายที่ปักไว้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเมืองน้อยที่เราจะไป
ในที่สุดก็ต้องลองสุ่มไปเอง
ฉันชี้เอง ไปทางขวามือพี่ เค้าบอกอีกสี่กิโลมีหมู่บ้าน
อย่างน้อยก็มีคนให้เราถามได้บ้างแหละ
......ทางสามแพร่ง
ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนจริงๆ นะ
.....แต่การสุ่มสี่สุ่มห้ามา
บางครั้งก็ไม่ทำให้เราผิดหวังแต่อย่างใด
เพราะนี่คือเมืองน้อย
เข้าเขตเมืองน้อยแล้วจริงๆ
พี่ทหารที่ขี่รถผ่านมา ช่วยคอนเฟิร์ม
.....แค่ถึงทางเข้า
สมาชิกร่วมทริปของเราก็ตื่นเต้น
ขอลงไปยืดเส้นยืดสายกันจ้าละหวั่น
.....ลอมฟางสุดเท่
ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย แบบนี้
พวกเราเดากันตลอดทาง ว่าทำไมเขาต้องเก็บฟางไว้สูงขนาดนี้
....บ่อยครั้ง กับป้ายแสดงเขตทหาร
บอกให้รู้ว่า เราอยู่ใกล้ชายแดนมากเพียงใด
..
...ป้ายแสดงเขตหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ
.....
ป้ายประกาศแจ้งกฎระเบียบหมู่บ้าน
ฉันชอบข้อ 4 และข้อ 5 ที่สุด
ที่บอกว่า ใครจับปลาในแม่น้ำ ต้องโดนปรับพันนึง
ใครยิงปืนในหมู่บ้าน โดยไม่มีเหตุจำเป็นจะถูกปรับนัดละ 500
ฉันสงสัยมาตลอดทาง
ว่า "เหตุจำเป็น" นั้น น่าจะเป็นอะไรได้บ้าง
..............เมื่อเดินมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำปายในหมู่บ้าน
เราก็ไม่แปลกใจ ว่าทำไมต้องมีป้ายห้ามจับปลา
(เอ๊ะ เป็นเพราะห้ามจับหรือเปล่า ปลาถึงได้ตัวโต
หรือเพราะปลาตัวโต เลยห้ามจับ)
เมื่อก้มมองลงไปในแม่น้ำตื้นๆใสแจ๋วนั้น
เราจะเห็นปลาตัวเบ้อเริ่มมาอออยู่ใต้สะพานเต็มไปหมดเลย
แต่ในภาพ ถ่ายติดแค่ปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ที่ลอยตัวนิ่งอยู่นานสองนาน
จนพวกเราสันนิษฐานว่าปลามันก็คงมาดูพวกเราเหมือนกัน
......สะพานที่ดีที่สุดของเมืองน้อย
..ตอนแรกนึกว่าจะเป็นเฉพาะแต่พวกเราที่หยุดดูปลาอยู่บนสะพานเป็นนานสองนาน แต่ชาวบ้านแถวนั้นเขาก็ยังตื่นเต้นกับปลาแถวนี้เหมือนกันแฮะ เวลาผ่านมาแถวนี้ ก็มักจะหยุดชี้ชวนกันดูปลาอยู่บนสะพานเป็นนานสองนานเหมือนกัน
...
อย่างในภาพ ดูจากการแต่งกายของฝ่ายหญิง ก็พบว่าน่าจะเป็นสาวชนเผ่าลีซู เธอขี่ซ้อนมอเตอร์ไซค์มากับหนุ่มกางเกงเขียวชนเผ่าเดียวกัน พอถึงกลางสะพาน ฝ่ายชายก็จอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้โดยไม่ได้ดับเครื่อง แล้วทั้งสองก็พากันเกาะราวสะพานชมปลา พลางคุยกันจุ๋งจิ๋งๆ
...
ก็น่ารักดีนะ
ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของคนเมืองน้อย
ฉันนึกภาพคนกรุงเทพฯ ถ้าเป็นหนุ่มสาวชาวกรุง
สองคนนี้อาจจะกำลังชี้ชวนกันดูปลาในอควอเรียมหรูๆแถวๆ สยามพารากอนอยู่เป็นแน่แท้
..........
ซูเปอร์มาเก็ตของคนเมืองน้อย น่ารักจริงๆ
มีมะเขือ ไข่ไก่ และผักสดเป็นไฮไลท์
เนื้อหมูไม่ได้ถามแฮะ ว่ามีหรือเปล่า
รู้แต่ว่ามีแคบหมูขาย ถุงละห้าบาท
น้องออมซื้อมาเดินขบเล่นแทนสแนคกรุบกรอบทั้งหลาย
... ...
ในหมู่บ้าน จะมีการแบ่งเขตดูแล ตามซอยเล็กซอยน้อยในหมู่บ้าน
ซอยละห้าหลังสิบหลัง
แต่ละเขตซอยที่ว่า เขาเรียกกันว่า "ป๊อก"
ก็เป็นป๊อก 1 ป๊อก 2 ไล่ไปเรื่อยๆ
แต่ละป๊อก จะมีหัวหน้าป๊อกคอยดูแลความสงบเรียบร้อย
คงเหมือนสีลมซอย 1 ซอย 2 กรุงเทพฯ นั่นกระมัง
...
บทกลอนสอนใจ
ของโรงเรียนสังวาลย์ 1
โรงเรียนประจำหมู่บ้าน
ที่เปิดสอนตั้งแต่ชั้นเด็กเล็กจนถึง ม.3
อาจจะดูเชยๆ แต่อ่านแล้วฉันก็อึ้งเหมือนกันนะ
ไม่รู้ว่าในโลกนี้ยังมีครูอีกกี่คนนะ ที่จะคิดได้แบบนี้
..
...
ฉันอยากให้ภาพนี้มีเสียง
เพราะแม่น้ำปายที่ไหลผ่าน "โต้ง" หรือ "ทุ่งนา"แปลงนี้ มันมีสุ้มเสียงที่น่ารักน่าฟังดีจริงๆ ถ้าบ้านอยู่แถวนี้ กลางวัน คงขอหอบหนังสือมานอนอ่านนอนฟังเสียงน้ำอยู่บนกระต๊อบเถียงนาแถวนี้เป็นแน่แท้ เห็นแดดร้อนเปรี้ยงอย่างนั้น แต่อากาศไม่ร้อนเลย เย็นชื่นใจ สบายตัวมากเลย
... ..
"โต้งนึง" หรือ "ทุ่งนึง" ที่เห็นนี้ อาจจะมีเจ้าของหลายคน
...
...
โบสถ์กระเหรี่ยงแบบติสต์ประจำหมู่บ้าน
สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง
สวยมาก
... ..
ป้ายนี้วางอยู่ที่พื้นปูนในหอประชุมของโบสถ์
...
..
ฉันชอบป้ายเก่าๆป้ายนี้
"จงลุกขึ้น ฉายแสง"
ช่างเหมาะมากเลย ที่เลือกมาติดไว้ในหอประชุม :)
... ..
บ้านเรือนละแวกโบสถ์
... ...
กระท่อมรจนา :)
น่ารักน่าดูไม่รู้เบื่อจริงๆ
...
..
ร้านขายของชำประจำหมูบ้านที่ใหญ่ที่สุด ทันสมัยที่สุด
เป็นปั๊มน้ำมันด้วยนะเอ้อ
...
..
ปั๊มน้ำมัน
สิ่งที่ขับเคลื่อนชีพจรของเมืองน้อย
...
..
เห็นชาวบ้านแวะเวียนมาซื้อของ
เติมน้ำมัน เรื่อยๆ
...
...
สามคนพ่อแม่ลูกชาวกระเหรี่ยง แวะมาช็อปปิ้งของกินของใช้ในร้าน
โดยมีเจ้าของร้าน (คนยืน เสื้อดำ)คอยดูแลให้บริการอย่างใกล้ชิด ชนิดที่ว่าบริการแบบนี้ร้านเซเว่นยังต้องชิดซ้าย โปรดสังเกตหนุ่มน้อยกระเหรี่ยงตัวเล็ก ที่จะวิ่งคว้าขนม คว้าโน่นคว้านี่ไม่หยุดเลย
...
..
ป้ายโฆษณาไอศครีม ปักอยู่หน้าร้านขายก๋วยเตี๋ยวประจำหมู่บ้าน
... ...
พระธาตุเมืองน้อย
โบราณสถานเก่าแก่ของเมือง อายุประมาณ 400-500 ปี
..... โปรดสังเกตรอยผ่ากลางพระธาตุ ที่เห็นนั่นคือร่องรอยการขุดเจาะล่าหาวัตถุโบราณของมนุษย์กลุ่มหนึ่ง (คนละกลุ่มกับสี่คนที่ยืนอยู่นั่นนะ ฮ่า) ที่ทำให้พระธาตุหลงเหลืออยู่เท่าที่เห็น
..
เราจอดรถไว้อีกฝั่งหนึ่ง ก่อนเดินข้ามสะพานมาไหว้พระธาตุ สังเกตแม่น้ำปายที่ไหลเลียบขนานไปกับถนน น้ำใสแจ๋ว และสวยมากจริงๆ
...
...... สะพานไม้จริง ไม่ใช่ไม้ไผ่
เวลาเดินมาถึงกลางสะพาน จะน่าหวาดเสียวสุดๆ
เพราะไม่มีเสากลางสะพาน
ที่พาดจากฝั่งถึงฝั่ง คือไม้สองต้นขนานกัน
เวลาเดินสองคนขึ้นไป มันจะยวบบบบบบบบบบบบบบบบ อย่างน่าใจหายจริงๆ
...... ทางกลับปาย ขนานไปกับแม่น้ำปายช่วงหนึ่ง
...
..
คาคบไม้ริมสะพานหน้าพระธาตุ
มองเพลินดีเหมือนกัน