ถ้าจะมีใครในโลกนี้โง่จริงๆ
ก็คงมีแต่ตัวเรานั่นแหละที่โง่
ถ้าเราฉลาดจริง เราจะไม่มีทางไปตำหนิใครว่าโง่หรอก ถึงแม้ว่าใครคนนั้นจะโง่จริงๆ ในสายตาเราก็เถอะ เนื่องจากมันเป็นคำต้องห้าม เป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดเลย ไม่ว่าในกรณีใด
แต่เราก็พูดไปแล้ว!
โง่ไปแล้ว เอาคืนไม่ได้แล้ว
ที่พอทำได้ก็คือขอโทษ
ใกล้ปีใหม่ ใกล้วันลอยกระทง
พระจันทร์สวย
ใกล้ถึงวันพระจันทร์เต็มดวง เขาบอกว่าคนบนโลกอาจจะกำลังใกล้บ้า อาจจะเป็นพลานุภาพของดวงจันทร์จริงๆ ก็ได้ ที่ทำให้อารมณ์มนุษย์เราวุ่นวายแปรปรวนนัก
สังเกตช่วงนี้มีหลายอย่างผิดที่ผิดทาง เป็นต้นว่ารถส่งของไปส่งหนังสือผิดพลาด ต้องขนกลับ ลูกค้าของเราซึ่งเป็นเพื่อนของเราด้วย ก็กำลังเจอปัญหาหนัก
หนังสือพิมพ์เสร็จเรียบร้อย พร้อมออกวางจำหน่ายหน้าร้านทั่วประเทศ แต่ปรากฏว่ายังนำออกวางจำหน่ายไม่ได้ เนื่องจากจัดการเรื่องงานเอกสารระหว่างกันยังไม่ลงตัว
ไม่ได้เป็นปัญหาของเราหรอก แต่เห็นกันมาตั้งแต่หนังสือยังมีไม่กี่ตัว จนแล้วแล้วเสร็จเป็นเล่มหนาปึ้กสวยงาม มันก็ผูกพันไปด้วยไม่รู้ตัว
เห็นแบบนี้แล้วก็หนาวแทน จากประสบการณ์ส่วนตัว เราเห็นว่าเรื่องเหล่านี้มันควรจะต้องเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนหนังสือจะเสร็จเป็นเล่มโน่นแล้ว แต่มันเพิ่งเริ่มเมื่อหนังสือเสร็จได้อย่างไร…ย้อนศรแบบนี้น่าใจหายใจคว่ำจริงๆ
มูลค่าของงานก็ครึ่งค่อนล้านบาท ไม่ใช่น้อยๆ เลย
คนที่ต้องรับผิดชอบก็เป็นหน้าใหม่
เพิ่งลงมือทำหนังสือจริงจังเป็นครั้งแรกแบบตกกระไดพลอยโจน
ทำไปทำมา คลุกคลีหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยกันอยู่หลายวัน ก็เลยมีโอกาสได้ปรึกษาหารือกันไปโดยอัตโนมัติ ฉันเองก็แนะนำไปหมดไส้หมดพุง เท่าที่คนเราจะแนะนำกันได้
แต่กระนั้นแล้ว ถึงตอนนี้แล้ว กำลังสงสัยว่าคงต้องรอจนกว่าจะพ้นช่วงลอยกระทงแน่เลย ทุกอย่างจึงจะขับเคลื่อนต่อไปได้
ดูเอาเถิดคนเรา
ทั้งเราทั้งเขา ต่างคนต่างวุ่นวายกันไปหมด
หรือปัญหามันอยู่ที่พระจันทร์จริงๆ นะ :)
เรื่องของเรื่องเกิดจากเมื่อหลายปีก่อน ฉันเข้าไปค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับดวงจันทร์ในอินเตอร์เน็ต แล้วได้กรอกแบบฟอร์มอะไรต่าง ๆ ไว้ ตามเว็บไซต์หลายแห่ง ส่วนใหญ่เป็นคำร้องขอให้เว็บไซต์เหล่านั้นนำเสนอข้อมูลที่ฉันต้องการใช้นั่นเอง ว่ากันง่ายๆ
หลังจากนั้นก็มีข่าวสารต่างๆ ส่งมาให้จนอ่านไม่ทัน
ต้องลบทิ้งทั้งๆ ที่ไม่ได้อ่านอยู่บ่อยครั้ง
เช่นในแต่ละเดือน ฉันมักจะได้รับจดหมายเตือนว่า จะมีพระจันทร์เต็มดวงวันที่เท่าไหร่ แต่มันเป็นกำหนดวันเดือนปีสำหรับการชมในสหรัฐอเมริกา ฉันเลยไม่ค่อยได้ประโยชน์จากข่าวสารพวกนี้เท่าไหร่
ที่ฉันชอบมากคือในจดหมายแจ้งกำหนดพระจันทร์เหล่านี้ เขาจะบอกชื่อพระจันทร์เต็มดวงในแต่ละเดือนมาด้วย ว่ามีชื่อเรียกอะไรบ้าง ฉันก็เพิ่งทราบจากสำนักข่าวพระจันทร์พวกนี้เองว่า พระจันทร์เต็มดวงในแต่ละเดือนนั้น ไม่เหมือนกันทุกครั้ง และมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป ดังนี้
พระจันทร์เต็มดวงในเดือนมกราคม
พระจันทร์หมาป่า (Wolf Moon)
กุมภาพันธ์
พระจันทร์หิมะ (Snow Moon)
มีนาคม
พระจันทร์หนอน (Worm Moon-ไอ๊หยา)
เมษายน
พระจันทร์สีชมพู (Pink Moon)
พฤษภาคม
พระจันทร์ดอกไม้ (Flower Moon)
มิถุนายน
พระจันทร์สตรอว์เบอร์รี่ (Strawberry Moon)
กรกฎาคม
ชื่อฝรั่งคือ Buck Moon แต่ไม่รู้จะเรียกชื่อไทยว่าอะไรดี พระจันทร์แพะ พระจันทร์กวาง พระจันทร์กระต่าย
สิงหาคม
พระจันทร์ปลา (Sturgeon Moon)
กันยายน
พระจันทร์ข้าว หรือพระจันทร์แห่งฤดูเก็บเกี่ยว (Harvest Moon)
ตุลาคม
เรียกว่าพระจันทร์นักล่า (Hunter’s Moon ชื่อนี้น่าเอาไปตั้งชื่อนิยาย)
พฤศจิกายน
เรียกว่าพระจันทร์บีเวอร์ (Beaver Moon)
ธันวาคม
พระจันทร์ยะเยือก(Cold Moon)
พระจันทร์ใกล้วันลอยกระทงคราวนี้ ทำให้ฉันนึกถึงหนังสือเก่าเล่มหนึ่ง ชื่อ The Moon’s Birthday ของ โดโรธี โรว์ เป็นเรื่องเด็กชาวจีนกับพระจันทร์ที่งดงามและประหลาด (exotic) ที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่มีคนเคยเขียนมา
ใครอยากอ่านบ้างตอนนี้อาจจะหาอ่านลำบากแล้ว เพราะหนังสือตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 1927 ฉันลองค้นหาในอินเตอร์เน็ตตอนนี้ ก็หาไม่เจอเสียแล้ว
หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือเก่า ๆ เน่า ๆ ติดบ้านอยู่นานมาก ระหกระเหินร่อนเร่ติดชีวิตฉันมานานปี เป็นหนังสือพ่อ หนังสือเพื่อน หรือหนังสือใครก็ไม่รู้ ฉันว่าจะเอาไปโยนทิ้งหลายทีแล้ว แต่ตัดใจไม่ลงสักที
The Moon’s Birthday เป็นเรื่องของโคมไฟกระดาษ (Lantern) ที่ใฝ่ฝันอยากจะไปงานเฉลิมฉลองคืนพระจันทร์เต็มดวง ฉากของเรื่องอยู่ในร้านขายโคมไฟ มีคนทำโคมไฟใจดี รักโคมไฟทุกชิ้นที่เขาทำขึ้นมา เขาคุยกับมัน และบางทีโคมไฟเหล่านั้นก็คุยกันเองด้วย
ในร้านนี้มีโคมไฟอันหนึ่ง ชื่อ Small Flour Face ถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีต พิถีพิถันมาก ใช้วัสดุอย่างดี และเป็นโคมไฟที่สวยงามมาก สวยที่สุดในร้านก็ว่าได้ ลูกค้าทุกคนที่เข้ามาในร้านนี้จะต้องสนใจโคมไฟนี้ แต่เมื่อทราบราคา ทุกคนก็จะผละไปสนใจโคมไฟอันอื่น
ลองนึกดูว่า เจ้า Small Flour Face โคมไฟช่างฝัน มันอยากไปงานปาร์ตี้พระจันทร์ อยากให้มีคนจุดไฟให้มันสว่าง มันลุ้นรอว่าจะมีใครสักคนหิ้วมันออกจากร้าน แล้วพาไปงานฉลองคืนพระจันทร์เต็มดวง แต่เพราะราคาแพงไป มันจึงโดนหลอกให้ดีใจแล้วถูกทิ้งอยู่ในมุมอับ ๆ มืด ๆ ในร้านครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้เขียนบรรยายความรู้สึกนึกคิดของโคมไฟในตอนที่มีคนมาลูบคลำสัมผัสได้น่ารักน่าลุ้นมากทำเราใจหายไปด้วย
จนกระทั่งวันพระจันทร์เต็มดวงมาถึง เย็นวันนั้น เจ้าของร้านเห็นว่า คงไม่มีใครซื้อเป็นแน่แท้ เขาจึงตัดสินใจลดราคาลงมาอีก ลูกค้าคนแรกที่เข้ามาหลังการลดราคาก็คือ เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง
เด็กชายถือโคม Small Flour Face เดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยเด็ก ๆ และโคมกระดาษหลากสีสัน
ผู้เขียนบรรยายบรรยากาศรื่นเริงจนเราแทบจะได้ยินเสียงหัวเราะสดใสของเด็ก ๆ และมองเห็นภาพโคมไปกระดาษในจินตนาการ ที่ค่อย ๆ ถูกจุดขึ้นที่ละดวง ทีละดวง จนสว่างไปทั่วผืนดินยามค่ำ
เราแทบนึกภาพได้เลยว่า ตอนที่เด็กชายจุดโคม Small Flour Face ในคืนนั้น เจ้า Small Flour Face จะรู้สึกเป็นสุขสว่างตื้นตันใจแค่ไหน
และที่น่าประทับใจมากก็คือ ขณะที่เจ้า Small Flour Face ส่องสว่างมีความสุขอยู่ใต้แสงจันทร์คืนนั้น มันยังได้ทักทายโคมไฟเพื่อนเก่า ๆ หลายดวง ที่มันเคยจับเจ่าอยู่ในมุมมืด ๆ ของร้านเดียวกันด้วย
โดโรธี โรว์-ผู้เขียน เติบโตในประเทศจีน รู้จักและเข้าใจขนบธรรมเนียมหลาย ๆ อย่างของคนจีน แต่มีมุมมองการเล่าเรื่องต่างไปจากคนจีน The Moon’s Birthday ของเธอจึงเรียบง่ายแต่ให้ความรู้สึกและจินตนาการที่สว่างและสะอาด เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระจันทร์ที่ฉันประทับใจมากอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อหลายปีก่อน เคยมีสารคดีของอเมริกา นำเสนอเรื่องการเหยียบดวงจันทร์ของนาซาที่เรียกว่า “Conspiracy Theory” ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าการส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์สำเร็จเป็นครั้งแรกของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 1967 เป็นเรื่องแหกตาทั้งเพ
ฉันชอบอ่าน ชอบเขียน ชอบรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับพระจันทร์ เพราะรู้สึกว่ามันเป็นสวรรค์ที่อยู่ใกล้มนุษย์มากที่สุด ทำให้มนุษย์เราเกิดจินตนาการ เกิดความนึกฝันเกี่ยวกับมันไม่มีที่สิ้นสุด
จำได้ว่าตอนที่ทราบเรื่องสารคดีนี้ครั้งแรก ฉันรู้สึกดีใจเหมือนกันนะ หากยังไม่เคยมีสักครั้งที่มนุษย์คนใดเคยไปเหยียบดวงจันทร์ได้เลยจริง ๆ
ฉันคิดว่าโลกเดียวก็เละพอแล้วแล้วมั้งสำหรับมนุษย์เรา
ลึกๆ จากใจ อันที่จริงฉันก็นึกอยากให้ความนึกคิดเกี่ยวกับพระจันทร์ของมนุษย์เราคลุมเครือและบริสุทธิ์อยู่ตลอดไปเหมือนกันนะ
ตราบใดที่เรายังไม่มีคำตอบจริงแท้เกี่ยวกับมัน เราอาจจะได้เห็นบทกวี เห็นตำนานใหม่เกี่ยวกับพระจันทร์ ได้อีกมากมาย ตราบเท่าที่มนุษย์เราจะนึกฝันหรือจินตนาการกับดวงจันทร์ต่อไปได้
แม้เราไม่ต้องไปเหยียบมัน พระจันทร์ก็คือมนุษย์ มนุษย์ก็คือพระจันทร์อยู่แล้ว ดังเช่น มาร์ค ทเวน เคยเขียนไว้ใน Pudd’nhead Wilson’s Calendar ว่า...
“มนุษย์เราคือพระจันทร์ดวงหนึ่ง เพราะเรามีด้านมืดซ่อนอยู่ในตัวกันทุกคน”
.....
.....
...