freeformbooks fair 26 March 2009

แล้วเราก็เจอกัน
ในวันชาติของชาวหนอน
ใช่มั้ย ใช่มั้ย :)
Last update : Sat,April 11, 2009
...........
คงเป็นเพราะพิมพ์ตัวหนังสือขึ้น MSN มาหลายวัน ว่า "ใกล้งานสัปดาห์หนังสือ 26 มี.ค.- 6 เม.ย.52" หลายคนเลยแวะเวียนส่งข้อความมาทักทาย
...
บางคนเข้าบล็อกนี้บ่อยๆ แต่ยังถามอยู่เลยนะว่า "ปีนี้พี่'ปรายมีหนังสือเล่มใหม่ออกในงานสัปดาห์หนังสือหรือเปล่า" แน่ะ :)
...
ยังตอบไปว่าพี่มีหนังสือออกใหม่ตั้งหกเจ็ดเล่มเลยนะเนี่ย เห็นไหม!เอาปกหนังสือมาทำเป็นตัวเปิดบล็อกอย่างอร้าอร่ามแบบภูมิใจเสนอเต็มที่ ยังอุตส่าห์ปลื้มไม่หาย เวลามีคนชมว่าปกหนังสือเราสวย
...
คนถามยังไม่วายแย้งมาอีกว่า "ม่ายช่ายยางง้านนน น้องหมายถึงหนังสือของพี่เองสิ แล้วก็ไม่ใช่แบบจดหมายรักด้วย เพราะจดหมายรักไม่ถือว่าเป็นเล่มใหม่ เพราะเป็นงานหลายปีแล้ว เอามาพิมพ์ซ้ำ"
...
คนถูกถามก็เลยละล้าละลัง จะตอบว่าไงดี
ก็เลยขอยกยอดมาตอบกันในนี้ละกันนะ ---ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะแวะมาอ่านไหม
อันที่จริงเรื่องมันยาวมาก
...
แต่ตอบแบบรวบยอดได้เลยว่า ก้าวย่างเข้าสองปีของสำนักพิมพ์ กับพ็อคเก็ตบุ๊คร่วมสามสิบปกที่เรามีอยู่ตอนนี้ ทุกเล่มที่มีโลโก้ฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์อยู่บนปก ถือว่าเป็นหนังสือของ'ปราย พันแสง ได้ทุกเล่มค่ะ
...
ฟรีฟอร์มเป็นสำนักงานเล็กๆ มีเจ้าของในฐานะหุ้นส่วนหลายคน ฉันเป็นทีมงานหลักคนหนึ่งที่มีหน้าที่ช่วยกันดูแลเรื่องการบริหารจัดการต่างๆ ซึ่งในกระบวนการผลิตหนังสือทุกเล่มเหล่านี้ กว่าจะเห็นเป็นเล่มๆ ในมือผู้อ่าน ถ้าฉันไม่ใช่ในฐานะบรรณาธิการหนังสือเล่มนั้นๆ เองโดยตรงแล้ว (ตามที่ปรากฎชื่ออยู่บนปกหนังสือ) ก็มักจะเป็นหนังสือที่ผ่านกระบวนการคัดเลือก กลั่นกรอง ผ่านมือ ผ่านตา ของ'ปราย พันแสง อยู่เกือบทุกเล่มล่ะค่ะ
...
ยกเว้นบางเล่ม ที่มีทีมงานคนอื่นๆ เข้ามาช่วยกันดูแล เช่นเป็นบรรณาธิการเล่ม การติดต่อ ช่วยตรวจสอบอะไรต่างๆ ก็ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของบก.เค้าไป ฉันก็จะคอยดูแลอยู่ห่างๆ
...
อย่างชุด "จดหมายรักยาขอบ" กับ "สินในหมึก" สองเล่มนี้ก็เป็นฝีมือทีมงานฟรีฟอร์มเขาลงในรายละเอียดกันทุกตัวอักษร ทุกบรรทัด ส่วนฉันนอกจากทำหน้าที่ผลักดันหนังสือเข้าสำนักพิมพ์ในตอนแรก รวมถึงการติดต่อพูดคุยกับเจ้าของลิขสิทธิ์ แล้วจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของทีมงานฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ ที่ทำให้มันเป็นรูปเล่มจับต้องได้ขึ้นมา ส่วนฉันก็จะก็คอยตรวจขั้นสุดท้ายอีกที
...
เราทำกันอย่างนี้กับหนังสือทุกเล่มที่ผลิตในสำนักงานของเรา ไม่ว่าจะเป็นหนังสือของเราเอง หรือหนังสือของลูกค้าที่มาจ้างทำงาน เราดูแลเหมือนกันหมด เพราะเราถือว่าในการผลิดหนังสือทุกเล่มมีคุณค่าควรแก่การเอาใจใส่เท่ากันหมด
...
เคยมีน้องมาสมัครงาน (บางคนก็มาฝึกงาน) แทบทุกคนบอกว่าอยากทำงานกับฟรีฟอร์ม พอเราบอกว่า เราไม่ได้ทำฟรีฟอร์มอย่างเดียวนะ เรามีทุนรอนไม่มาก แต่การทำหนังสือนั้นค่าใช้จ่ายสูงมาก จำเป็นจะต้องหารายได้จากแหล่งอื่นมาหนุนด้วยอีกทาง เราอยู่กันมาได้เรื่อยๆ ก็ด้วยหลักการทำงานเช่นนี้
...
ฟรีฟอร์มเป็นหนังสือที่ขายโฆษณาไม่เก่งค่ะ
เรามีชีวิตอยู่ด้วยยอดขายหนังสือ และการรับจ้างผลิตหนังสือ อย่างแท้จริง
ซึ่งออกจะเหนื่อยเหมือนกัน แต่ฉันก็ยังภูมิใจ
อย่างน้อยเราก็ไม่จำเป็นต้องทนโฆษณาบ้าๆ บอๆ ที่เราเกลียด
...
นอกจากนี้ ฉันยังรู้สึกว่า การพยายามขายโฆษณาให้ได้ หรือให้ได้มากๆ เนี่ย ถ้าทำไปนานๆ มันอาจจะทำให้เรากลายเป็นมนุษย์อีกแบบหนึ่งได้ เพราะคนที่พยายามจะไปให้ถึงเป้าหมาย โดยไม่สนใจว่าอะไรระหว่างทางมันจะวายป่วงเนี่ย---มันไม่น่าอยู่ใกล้นักหรอกคุณ
...
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา มีหลายครั้งที่ฉันต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า เพื่อเงินจำนวนเพียงแค่นี้ เราจะต้องแลกกับอะไรในตัวเราขนาดนี้เชียวหรือ
...
เงินเพียงแค่นี้
ยังมีปัญญาหาจากทางอื่น--ทางที่เรายังนับถือตัวเองได้อยู่
...
คนเก่าๆ ในวงการหนังสือเคยบอกฉันว่า ทำหนังสือถ้าไม่สนใจเรื่องโฆษณา จะไม่มีอนาคตหรอก ซึ่งฉันก็เชื่อตามมาตลอด แม้ในช่วงหลังๆ จะพบว่า มันไม่ใช่
...
ปัจจุบันนี้ หนังสือเล่มไหนต้องพึ่งพาโฆษณามากๆ ฉันว่ามันยิ่งลำบากกันใหญ่ โลกมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว ทุกอย่างต้องคิดกันใหม่อีกรอบ
...
ฉันอยากกลับไปที่จุดเริ่มต้นของการทำหนังสือ นั่นคือตั้งใจทำเนื้อหาให้มันดีๆ ถ้าดีจริงคนอ่านเขาก็จะติดตามเราเอง มันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยตัวมันเอง หลังจากนั้นถ้าจะมีโฆษณาหรืออะไรตามมาก็ว่ากันไป ..แต่เราต้องพึ่งตัวเองให้ได้ก่อน
...
ฉันเชื่ออย่างนั้น
...
เจ้าของสินค้าที่ต้องการลงโฆษณาสมัยนี้เค้าก็ไม่ได้โง่นะคุณ ประเภทหนังสือพิมพ์ขายห้าพันเล่ม ไปหลอกเขาว่าพิมพ์ห้าแสน เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว เค้าไม่เชื่อคุณแล้ว
...
ลูกค้าที่มาจ้างบริษัทเราผลิตหนังสือรายหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เขาส่งเลขาฯไปสืบเสาะเอาข้อมูลมาโดยตรงเลย ว่าเล่มไหนพิมพ์เท่าไหร่ ขายเท่าไหร่กันแน่ เขาทำขนาดติดสินบนพนักงานในบริษัทที่เขาอยากได้ข้อมูลจริงๆ มาเลยทีเดียว (พนักงานนี่ก็...นะ สมัยนี้คงไม่มีพนักงานคนไหนรักบริษัทจริงๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้วม้างง ) ทุกวันนี้เขาเลยรู้หมด ไม่มีใครหลอกเขาได้
...
ฉันฟังแล้วก็รู้สึกขำปนสะใจ
เออ ดี มีอย่างนี้เสียบ้าง
ก็ดี ต่อไปอะไรๆ มันอาจจะได้เป็น อย่างที่มันควรจะเป็นเสียที
............
โลกนี้...คนเราไม่ควรมีชีวิตอยู่ด้วยการหลอกลวงกันไปวันๆ หรอกนะ
...
ไม่มีใครยอมโดนหลอกง่ายๆ ด้วย
...
ทำฟรีฟอร์มผ่านไปสองปี เมื่อพบว่าพ็อคเก็ตบุ๊คของเรามีผู้อ่านประจำอยู่ไม่น้อย ฉันก็ตัดสินใจ ว่าเราจะไม่สนโฆษณาแล้วนะ เราจะต้องอยู่ด้วยเนื้อหาที่ดีของหนังสือและยอดจำหน่ายที่แท้จริง
...
ขายได้น้อยก็ใช้จ่ายน้อยๆ
ถึงขายได้มาก ก็ยังต้องใช้จ่ายน้อยๆ
น้อยที่สุด
...
นั่นคือเหตุผลหนึ่งว่าทำไมฟรีฟอร์มไม่มีเว็บไซต์ของตัวเองสักที "คอนเทนต์เยอะขนาดนี้ เดี๋ยว blogspot เขาจะคิดเงินเอาสักวันหรอก" --เคยมีคนแซวอย่างนั้น ฉันก็ได้แต่หัวเราะ :)
...
เลยบอกไปว่า เอาไว้ให้เราพิมพ์หนังสือครบ 100 ปกก่อนละกัน ค่อยคิดเรื่องเว็บไซต์จริงจังอีกที ตอนนี้ใช้บล็อกแบบนี้ก็สะดวกดี เขาออกแบบมาให้เราใช้ฟรีนี่นา ไม่ใช้เดี๋ยวเค้าว่า :)
...
นะ- สมัยนี้ ใครจะมีเว็บมีอะไรไม่เห็นจะแปลก
ไม่มีนี่ก็ดี แบบว่า... อาจจะแปลกดีน่ะนะ ...ฮ่า :)
...
ตอนนี้ เราก็ต้องทำทุกอย่างเท่าที่กำลังเราพอจะทำได้ โดยไม่ต้องหวังพึ่งใครอื่นอีกต่อไป ซึ่งกว่าจะคิดได้ สำนักงานเล็กๆ ของเราก็ต้องเสียค่าโง่ไปแล้วหลายสตางค์
...
นึกแล้วยังเสียดาย ถ้าคิดได้ไวหน่อย
เงินพวกนี้อาจจะเอามาพิมพ์หนังสือดีๆ ได้ตั้งหลายเล่มแน่ะ :)
...
...
ด้วยเหตุนี้ เวลามีใครมาสมัครทำงานกับเรา เราก็จะบอกก่อนเลยว่านอกจากฟรีฟอร์มแล้ว ก็ต้องทำทุกอย่างนะ ทำหนังสือรายงานประจำปีของบริษัท ทำโน่นนี่ ทำแม้กระทั่งหนังสือรุ่น หรือการ์ดเชิญ ไดอารี่ พวกงานออกแบบสิ่งพิมพ์ทั้งหลาย รวมถึงกวาดออฟฟิศ แบกห่อหนังสือขึ้นลงตึกสามชั้นด้วยนั่นแหละ ---ต้องทำหมด :)
...
บางคนก็ชอบนะ ที่ได้ทำหมด ซึ่งเราก็ว่า พวกนี้อนาคตไกล มาทำกับเราสักพักหนึ่ง นึกอยากโบยบินไปไหนที่ดีกว่า เราจึงไม่ได้คิดขัดขวาง ขอให้บอกตรงๆ (อันที่จริงก็บอกไว้ล่วงหน้าตั้งแต่มาทำงานร่วมกันแรกๆ แล้ว) บางทียังสอนวิธีทำพอร์ตให้ด้วยซ้ำ
...
บางคนมาทำกับเราก็อยากทำแค่บางอย่าง บางคนก็รักฟรีฟอร์มมาก จนอยากทำฟรีฟอร์มอย่างเดียว พอเราต้องแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่น ซึ่งบางครั้งเราก็ติดพันกับงานผลิตหนังสือให้ลูกค้าจนต้องเลื่อนเวลาทำฟรีฟอร์มออกไปบ่อยครั้ง ก็พลอยทำให้น้องบางคนแอบเซ็ง ไม่อยากทำอย่างอื่นด้วย--เป็นอย่างนั้นก็มี :)
...
อันที่จริงก็ไม่โทษน้องหรอก
เพราะฉันเอง เวลาเจอลูกค้าที่ทำให้การทำงานร่วมกันยุ่งยากมากๆ ฉันก็แอบเซ็งอยู่เหมือนกัน แต่ก็อนุญาตให้ตัวเองเซ็งอยู่สักสองสามวันเท่านั้น หลังจากนั้นก็ต้องสลัดทุกอย่างทิ้ง ลุกมาทำต่อ ให้มันลุล่วงไป
...
แต่ทุกครั้งที่เหนื่อยๆ เซ็งๆ เมื่อได้กลับมาทำหนังสือของเราเอง อย่างพ็อคเก็ตบุ๊คหกเจ็ดเล่มที่ออกวางแผงในงานหนังสือรอบนี้ พวกเราทีมงานหามรุ่งหามค่ำทำงาน ประเภทเข้านอนทั้งชุดเดิมมาเป็นเดือนๆ กว่าจะแล้วเสร็จ
...
แต่พอหนังสือพิมพ์เสร็จเป็นเล่มออกมาให้จับต้องได้เท่านั้นแหละ
...หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง :)
...
เรี่ยวแรงใจประเภทนี้ มันจะยิ่งตามมาอีกเป็นทบทวี เมื่อมีคนอ่านบอกเราว่า ชอบจังเรื่องโน้น สนุกจริงเรื่องนี้ คำสองสามคำเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้แหละค่ะ ที่ทำให้พวกเรายังมีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ :)
...
เมื่อค่ำวันพุธที่ผ่านมา ฉันและทีมงานไปช่วยกันจัดบูธในงานสัปดาห์หนังสือที่จะเริ่มขึ้นในวันรุ่งขึ้น เราจับหนังสือเล่มนั้น เปิดอ่านเล่มนี้ ราวกับว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อนซะอย่างนั้น ขำตัวเองเหมือนกัน
...
ปีนี้ ฟรีฟอร์มเพิ่งมีบูธเป็นของตัวเอง หลังจากที่ไปฝากบูธอื่นขายมาหลายรอบ บูธเราเป็นบูธเล็กๆ ขนาดสองคูณสามเมตร ที่ทางผู้จัดงานใช้พลาสติกใสๆ มากั้นเป็นล็อกๆ ให้เราใช้วางหนังสือจำหน่ายในงาน บูธเล็กขนาดนี้ ยังใช้เวลาจัดอยู่ตั้งหลายชั่วโมง ถึงจะแล้วเสร็จ
...
ถ้าไปงานฯ ก็แวะเวียนมาทักทายกันบ้างนะคะ ไม่ซื้อไม่ว่ากันเลยค่ะ
แค่ไปยืนหน้าร้าน แล้วเอื้อมมือมาจับต้องหนังสือพวกนี้บ้าง คนทำก็คงดีใจมากๆ กันแล้วค่ะ
....
อ้อ ตอนนี้แมร์ด 2 มาถึงบูธแล้วนะคะ
วันนี้จะมี "จดหมายรักยาขอบ" และเล่มอื่นๆ
จะทยอยตามมาเรื่อยๆ ค่ะ
..






นี่ล่ะค่ะ หน้าตาบูธเรา จัดเสร็จเมื่อตอนค่ำวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา
..........................
.......
.........
คนจัดงานคงเห็นว่าบูธมันเล็กมาก ก็เลยพยายามทำให้มันสบายตาขึ้น ด้วยการใช้พลาสติกกั้น ซึ่งพวกเราก็ชอบกันมากเลย ดูสวยกว่าผนังบูธทั่วไป ออกแนวนู้ดๆ เซ็กซี่นิดๆ :) แต่บังเอิญเราทำภาพปกหนังสือขนาดใหญ่มาด้วย พอเอาไปติดบนพลาสติก มันก็เลยโหวงเหวงชอบกล เลยคุยกันว่า พรุ่งนี้ต้องหาอะไรมาปิด ลดการสะท้อนแสงของพลาสติกลงสักนิดน่าจะดี จะเป็นผ้าหรือกระดาษนั้น เดี๋ยวดูกันอีกที

....................
............................
........
......................................................
นอกจากหนังสือเราเอง ก็มีหนังสือของสำนักพิมพ์ข้างเคียงมาฝากขายด้วยอย่างสำนักพิมพ์ฟูลสต็อป ที่เคยทำนิตยสารซัมเมอร์มาก่อน ก็ทำหนังสือท่องเที่ยวนิวยอร์ค ลาสเวกัส ลอนดอน และอีกมากมาย สวยๆ ทั้งนั้น
..........
ความที่เราเคยฝากขายที่ฟุลสต็อปเค้ามาเยอะมาก บ่อยมาก คราวนี้ก็เลยรับฝากเป็นการเอาคืนอย่างเต็มที่ :) มีหนังสือของยวน แมคเกรเกอร์ ที่เคยเขียนแนะนำในบล็อกนี้ด้วยนะคะ อยู่มุมขวาสุด หนังสือสวยน่าอ่านมาก
.............

.............

..........

วันนี้ 26 มีนาคม เปิดงานวันแรก เป็นพิธีรับเสด็จสมเด็จพระเทพฯ มาเปิดงานเช่นประจำทุกปี ปีนี้พระองค์ท่านเสด็จมาประมาณบ่ายสามโมงกว่าๆ เมื่อท่านเสด็จกลับ ก็เลยมีการเปิดจำหน่ายหนังสือเป็นทางการ ตั้งแต่หกโมงเย็นถึงสามทุ่ม

ตอนแรกนึกว่าจะไม่ค่อยมีหนอนมาช็อปกันเท่าไหร่ เพราะเปิดตอนค่ำ แต่ที่ไหนได้ หลายคนช็อปแหลกตั้งแต่วันแรก หอบข้าวของกลับบ้านพะรุงพะรังที่เดียว แล้วก็เจอคนแถวๆ นี้ด้วยค่ะ หอบหนังสือเป็นตั้งมาให้เซ็นตั้งแต่วันแรกเนี่ยเลย ไม่ค่อยจะเห่อเลยเนอะ :)
..............


พี่เขียว คาราบาว วันนี้ช็อปหลายถุง หอบหิ้วพะรุงพะรังทีเดียวเชียว แต่ยังแวะมาช็อปที่บูธเราด้วย ได้ "ร้านชำสำหรับคนอยากตาย" กับ "ต้นส้ม น้ำตา พายุ" กลับไปอ่านที่บ้านด้วย(อ่านหนังสือ"ชิลล์"มากเลยพี่ เจ๋งจริงๆ) แว่วๆ ว่าวันนี้พี่เขาหมดไปแล้วหลักพัน แต่เดี๋ยวจะแวะมาอีก :)

...............................................................



ลูกค้าคนสุดท้าย (วันที่ 26 มีนาคม) ก่อนปิดร้าน สนใจเรื่องฝรั่งเศสเป็นพิเศษ แต่ท่าทางจะเก็บย้อนหลังแฮะ ไม่เป็นไรค่ะ งานนี้ตั้งใจอยากให้เก็บ เพราะราคาน่าเก็บสุดๆ ไตรภาคนิโกโปล จากราคาปก 450 ลดเหลือ 380 เองนิ ส่วนร้านชำฯ จาก ราคา 198 บาท ลดเหลือ 160 บาท กระชากขนาดนี้ ไม่มีใครกลับจากบูธเราไปมือเปล่าสักคน น่ารักจริงๆ ค่ะ ต้องขอบคุณมากๆ เลย :)
........................







วันนี้ มีหลายคนมายืนถ่ายรูปกับแผ่นป้ายปกหนังสือยาขอบด้วย

เกิดไปเลยนะปกนี้ :)




น้องบี (ซ้าย) กับน้องแพร สองสาวนักศึกษาปีสี่จาคณะศิลปศาสตร์ มหิดล มาช่วยเรารับผิดชอบการขายหน้าร้านตลอดงานนี้ค่ะ ถ้ามีช่วงว่างบ้าง น้องๆ ก็จะถูกพวกพี่ๆ บังคับให้อ่านหนังสือตลอด แบบว่ากลัวน้องเค้าอ่านหนังสือเรียนมากไป เลยอยากให้อ่านหนังสืออ่านเล่นบ้างน่ะนะ ฮ่า :)



น้องผู้ชายคนนี้ มาเที่ยวงานหนังสือกับคุณแม่และพี่สาว ซึ่งหน้าเหมือนกันเป๊ะทั้งสามคน เหมือนซีร็อกซ์กันมา 100 เปอร์เซ็นต์ น้องเดินมาถึงหน้าร้านเราก็ดุ่มเข้ามาเลย และขลุกอยู่ในร้านท่านี้เกือบครึ่งชั่วโมง โดยมีคุณแม่กับพี่สาวยืนยิ้มรออย่างอารมณ์ดีอยู่นอกร้าน คุณแม่หันมาบอกฉันด้วยน้ำเสียงภูมิใจว่า "ลูกชายเค้าชอบอ่านหนังสือมาก" เราก็ต้องภูมิใจอีกเท่าตัวสินะ ที่น้องเค้าแวะมาช็อปบูธเราด้วย มัวแต่คุยเพลินเลยไม่สังเกตแฮะ ว่าน้องเค้าได้อะไรติดมือกลับบ้านไปด้วย





น้องผู้หญิงสองคนนี้แวะมาเลือกหนังสือ'ปราย พันแสง อยู่นาน จนไม่ทันสังเกตว่าคนเขียนยืนแอบลุ้นอยู่ใกล้ๆ ว่าน้องเค้าจะหยิบเล่มไหนน้า กะว่าน้องเค้าหันมาทางเราก็จะทักทาย ว่านี่ไง คนเขียนอยู่นี้ วู้ วู้

......

ปรากฏน้องเค้าเลือกหนังสืออย่างตั้งใจมาก จนไม่มองมาทางคนเขียนแม้แต่นิดเดียว ฮ่า สองภาพสุดท้ายนี้ถ่ายก่อนปิดร้าน (วันที่ 30 มีนาคม) รอบนี้มีคนแซวว่าเด็กมหิดลขายหนังสือให้เด็กจุฬาฯด้วยนะ เอาให้ครบทุกสถาบันเลยดีมั้ย จะได้ไม่ต้องแบ่งสี ฉันฟังแล้วก็ขำๆ เนื่องจากไม่ได้สังเกตกระดุมเสื้อน้องเค้าเลยแฮะ

.......

รู้สึกว่าวันนี้บูธเรามีลูกค้าเป็นนักศึกษาเยอะเป็นพิเศษ--นั่นแสดงว่าน้องๆ พวกนี้เค้าเลือกหนังสืออ่านได้ดีเหมือนกันเนอะ เนอะ :)

คุยเรื่องบูธมาเยอะแล้ว ขอคุยเรื่องหนังสือในบูธบ้าง

เฉพาะหนังสือออกใหม่ในงานนี้ละกันนะ เล่มก่อนหน้านี้ ถ้าสนใจ คลิกไปอ่านที่บล็อกฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ได้เลยค่ะ



The Picture of Dorian Gray
ภาพวาดโดเรียน เกรย์

ในจำนวนหนังสือใหม่หกเจ็ดเล่มของฟรีฟอร์มรอบนี้ ถ้าสามารถซื้อได้เล่มเดียว ฉันขอแนะนำเล่มนี้ค่ะ ภาพวาดโดเรียน เกรย์ คุ้มแน่นอนค่ะ คุณสามารถเก็บไว้เป็นมรดกตกทอดให้ลูกหลานได้ไม่รู้จบ บอกได้อย่างนั้นเลย นี่คือหนังสือที่มีค่ามาก สำหรับคนที่รักหนังสือ

หลายปีมานี้ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้หลายรอบ คัดคำพูดเด็ดๆ ของออสการ์ ไวลด์ ไปใช้อ้างอิงในงานเขียนหลายครั้ง เคยหอบหนังสือไปอยู่เชียงใหม่ด้วยตั้งนาน กะว่าเขียนนิยายตัวเองเสร็จเมื่อไหร่ จะลงมือแปลหนังสือเล่มนี้

ทำไมน่ะหรือ มันคงเหมือนกับการที่ฉันอยากพิมพ์งานของ "ยาขอบ" นั่นกระมัง มันอาจจะเป็นการ "บูชาครู" อย่างที่คนไม่มีชื่อแถวๆ นี้เคยบอกไว้ :) ค่าที่ว่าฉันเคยแปลบทกวีของออสการ์ ไวลด์ เคยนำคำคมๆ ของเขามาใช้อ้างอิงในงานเขียนของตัวเองบ่อยๆ

..............

เมื่อมีโอกาส ก็อยากจะนำเสนอผลงานเขาออกมาให้ผู้อ่านได้ลิ้มรสกันอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยบ้าง แทนที่จะอ่านหรือสัมผัสเพียงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในงานเขียนของฉันเท่านั้น

แต่ในที่สุด เมื่อเห็นว่านวนิยายของตัวเองที่เริ่มไว้ยังไม่มีแววว่าจะจบลงสักที ฉันก็เลยตัดสินใจส่งหนังสือเล่มนี้เข้าระบบของสำนักพิมพ์ --ให้ทางทีมงานฟรีฟอร์มจัดหาคนที่เหมาะสมมาแปล

...............

น่าแปลกนะ นักแปลหลายท่านที่เราเคยทาบทาม ทุกคนกลัวการแปลหนังสือเล่มนี้กันทั้งหมดเลย คงเพราะชื่อเสียงขั้น"เทพ"ในแวดวงวรรณกรรมของออสการ์ ไวลด์นั่นเอง

.............

เดิมที เราเคยวางแผนเอาไว้ว่าจะให้เป็นผลงานพ็อคเก็ตบุ๊คเล่มแรกของฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ แต่ด้วยเนื้อหาและสำนวนภาษาที่ค่อนข้าง "ฮาร์ดคอร์" ในกระบวนการจัดพิมพ์ จึงใช้เวลาในการแปล ตรวจแก้ กลั่นกรอง กันอยู่นานมาก

................

ด้วยเนื้อหาปรัชญาของศิลปะบริสุทธิ์และสุนทรียศาสตร์ลึกซึ้ง ที่มีฉากเป็นบรรยากาศหรูหราในสังคมชั้นสูงของอังกฤษ ในบรรยากาศของนิยายกอธิค ที่มีความหม่นมืดปนสยองขวัญอยู่บางๆ จึงทำให้หนังสืออ่านสนุก น่าติดตาม ไม่เคยตกสมัยเลยแม้แต่นิด ดังเราจะพบว่ามีการสร้างเป็นภาพยนตร์และละครเวทีซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ส่วนตัวฉันเคยดูฉบับภาพยนตร์มาสองสามเวอร์ชั่น แล้วพบว่า หนังมันมีกลิ่นอายของโฮโมเซ็กช่วลรุนแรงมาก จนบางคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือ ไม่รู้จักเบื้องหน้าเบื้องหลังของนวนิยายเรื่องนี้มาก่อน เรียกหนังโดเรียน เกรย์ ว่าเป็น "หนังเกย์" ไปเลยก็มี

.................

ฉันไม่ได้ต่อต้านเกย์ เพื่อนพ้องน้องพี่สุดที่รักก็อยู่ในข่ายนี้หลายคน ก็ยังรักใคร่นับถือกันดี แต่การทำหนังทำละครหรือแม้แต่เขียนอะไรเกี่ยวกับเกย์นั้น ถ้ารสนิยมคนทำไม่ดีพอ มันจะลงต่ำและดูเป็นเรื่องหยาบคายได้ง่ายมาก

.............

ยิ่งมีการสร้างหนังจากนวนิยายเรื่องนี้บ่อยเพียงใด ฉันรู้สึกว่าเนื้อหามันคงยิ่งห่างไกลจากนวนิยายต้นฉบับเข้าไปทุกที เคยดูเวอร์ชั่นหนึ่ง โดเรียน เกรย์ เป็นนายแบบด้วยแหละ ส่วนท่านลอร์ดเฮนรี่เป็นเจ้าป้า เอ๊ยเป็นกูรูแฟชั่น :) เฮ้ย เล่นกันงี้เลยเรอะ ฉันร้องจ๊าก

..........

นั่นยิ่งเป็นอีกหนึ่งแรกผลักดัน ที่ทำให้คิดว่า อย่างไรเสีย ฉันก็จะต้องผลักดันให้นวนิยายเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์ในภาษาไทยให้ได้

โดเรียน เกรย์ ไม่ใช่นิยายเกย์ค่ะ แม้ว่าบรรยากาศของสโมสรสุภาพบุรุษในเรื่อง จะมีกลิ่นอายของโฮโมเซ็กช่วลอยู่บ้าง แต่เป็นแค่กลิ่นอายให้เราตีความกันไป ทั้งนี้คงเป็นเพราะออสการ์ ไวลด์ เป็นจีเนียสและรสนิยมเลอเลิศมาก เขาเป็นคนรักความงาม รักสุนทรียศาสตร์อย่างคนที่เข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง เขาไม่ได้เขียนความเป็นเกย์ออกมาอยาบคายโจ๋งครึ่มเหมือนที่หนังสือประเภทนี้นิยมทางกัน

อาจจะเป็นเพราะยุคสมัยที่เขาเขียน โดเรียน เกรย์ นั้น ชีวิตโฮโมเซ็กช่วลเป็นเรื่องที่ถูกต่อต้านอย่างหนัก ออสการ์ ไวลด์จึงไม่ได้เสนอภาพเกย์ออกมาชัดเจนนัก โดยเฉพาะในตอนหลัง เมื่อเขาถูกกลั่นแกล้งจนติดคุกด้วยข้อหามีความสัมพันธ์ทางเพศกับชายหนุ่ม ในศาล ยังมีการอ่านบางตอนของนิยายเรื่องนี้เพื่อยืนยันความผิดของเขาด้วย ซึ่งเราท่านสมัยนี้ลองอ่านดูเถอะ ว่ามันตลกแค่ไหน :)

แน่นอนบุคลิคตัวละครและสังคมชายหนุ่มที่ปรากฏในเรื่อง The Picture of Dorian Gray อาจจะมีนัยประหวัดเช่นนั้นได้ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องราวในชีวิตจริงของผู้เขียน ที่ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลานานด้วยข้อหารักร่วมเพศด้วยแล้ว ก็คงยากที่จะตีความไปในทางอื่นได้

...

หากแต่ฉันเห็นว่าประเด็นรักร่วมเพศนั้นเป็นเสน่ห์ ที่ทำให้เราคิดไปเองได้เยอะๆ และเป็นประเด็นเล็กน้อยมากสำหรับหนังสือที่ยิ่งใหญ่เล่มนี้ เรื่องบาป เรื่องศาสนาอาจจะเป็นประเด็นสำคัญกว่าด้วยซ้ำ ถ้าจะตีความกันจริงๆ คงน่าเสียดาย หากผู้คนจะมีโอกาสได้ชมกันแต่ฉบับภาพยนตร์ซึ่งหาชมได้ง่าย และได้มองเห็น The Picture of Dorian Gray เป็นเพียงนวนิยายเกย์ธรรมดาเรื่องหนึ่ง จนมองข้ามส่วนสำคัญ อีกมากมายในหนังสือไปจนหมดสิ้น

“ในบรรดานักเขียนไทยที่คล้ายออสการ์ ไวลด์ที่สุด เห็นจะได้แก่คึกฤทธิ์ ปราโมช โดยเฉพาะก็ทางด้านการแต่งกายและกินอยู่ กับความเป็นอภิชนที่ใช้ภาษาอย่างแหลมคม” อาจารย์ ส. ศิวรักษ์ เคยกล่าวถึงออสการ์ ไวลด์ ไว้เช่นนั้น

ทั้งยังยกย่องไว้ด้วยว่า ความเฉลียวฉลาดและความสามารถทางการเขียนของออสการ์ ไวลด์นั้นเหนือชั้นกว่าคนมีพรสวรรค์อย่างที่ผู้คนมักกล่าวอ้างกัน “คำพูดของเขา ในชีวิตจริงหรือในบทละคร ออกจะเหมือนกัน ล้วนเป็นคำคม ที่คนจำได้กันอย่างติดใจแทบทุกประโยคและวลี โดยเขาถือว่าเขามีอัจฉริยภาพ (Genius) ซึ่งต่างจากผู้ที่มีความสามารถ (Talented)”

นั่นคือ ออสการ์ ไวลด์ ในทัศนะของนักคิดนักเขียนไทย เจ้าของฉายา “ปัญญาชนสยาม”


ออสการ์ ไวลด์ มีชื่อเสียงมากในเรื่องการเขียนบทละคร ทุกวันนี้ยังมีการนำผลงานของเขามาสร้างละครเวทีเปิดแสดงให้ชมกันอยู่เสมอในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ด้วยความโดดเด่นของสำนวนตอบโต้แหลมคม มีเชิงชั้น มีแง่มุมลึกล้ำชวนให้คิดตีความได้กว้างไกล มีเสน่ห์ชวนหลงใหล ชวนให้พินิจพิเคราะห์ตีความใหม่ๆ ได้เสมอ





The Best Short stories of Guy De Maupassant
เงื้อแล้ว…ก็ต้องฟัน
มนันยา : แปล

รวมเรื่องสั้นดีที่สุดของกีย์ เดอ โมปัสซังต์ หนังสือเล่มนี้มีที่มาจากวงสนทนาประสาเพื่อนพ้องน้องพี่ในแวดวงคนทำหนังสือเมื่อยามเย็นในวันศุกร์หนึ่งในร้านอาหารละแวกประชาชื่น

หลังจากที่คุยกันสัพเพเหระเกี่ยวกับหนังสือหนังหามาพักใหญ่ คุณเสถียร จันทิมาธร บรรณาธิการบริหารนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ซึ่งเป็นทั้งที่ปรึกษาและหุ้นส่วนของฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ ก็หันมาเอ่ยกับฉันว่า "ทำไมคุณไม่ลองคัดเรื่องดีๆ ของกีย์ เดอ โมปัสซังต์ มาพิมพ์ใหม่ล่ะ ผมว่าของเก่าเขาแปลไว้ยังไม่ค่อยดีนะ แต่โมปัสซังต์เขียนเรื่องดีๆ ไว้เยอะมาก ผมอ่านอีกก็ยังชอบอยู่หลายเรื่อง" แล้วหลังจากนั้นวงสนทนาของเราจึงกลายเป็นเรื่องโมปัสซังต์ไปอีกพักใหญ่ ต่างคนต่างงัดเรื่องที่ตัวเองเคยอ่านแล้วชอบ ออกมาเล่าสู่กันฟังขนานใหญ่

...

เมื่อฟรีฟอร์มรวบรวมต้นฉบับได้ครบแล้ว จึงมีการคัดสรรนักแปล ทีแรกฉันเสนอว่า คนแปลน่าจะเป็นคุณตู๋ วลัยภรณ์ นาคพันธ์ คนที่แปล "ผู้หญิงสีฟ้าครึ้มฝน" กับ "ผู้ชายครึ่งฝัน" เพราะคุณตู๋เคยบอกว่า ตอนไปเรียนที่ฝรั่งเศส เธอมีปัญหาเรื่องการเขียนวิทยานิพนธ์เป็นภาษาฝรั่งเศส อาจารย์ของเธอเลยแนะนำให้อ่านหนังสือของโมปัสซังต์เพื่อสร้างความคุ้นเคยด้านภาษา

ปรากฏว่าการลุยอ่านโมปัสซังต์ครั้งนี้ ทำให้เธอชื่นชอบผลงานของนักเขียนท่านนี้เป็นอย่างมาก---ฉันจึงคิดว่า คุณตู๋นี่ล่ะ เหมาะที่สุด เพราะนอกจากเธอจะเป็นคนรุ่นใหม่แล้ว ความรู้เกี่ยวกับภาษาฝรั่งเศสของเธอก็ดีเยี่ยม พอๆ กับความเชี่ยวชาญในการเลือกสรรคำแปลมาเป็นภาษาไทยของเธอนั้นก็อยู่ในระดับ "มืออาชีพ" ทีเดียว บ่งบอกถึงความเป็นนักอ่านระดับพระกาฬ

........

สำนวนแปลของคุณวลัยภรณ์จึงอ่านลื่น สละสลวย เป็นนักแปลหน้าใหม่อีกคน ที่เป็นขวัญใจทีมงานฟรีฟอร์มเป็นอย่างยิ่ง รวมถึงความหลังที่เธอมีต่อโมปัสซังต์ด้วยแล้ว เราจึงไม่เห็นใครเหมาะจะแปลงานของโมปัสซังต์ ได้เท่าเธออีกแล้ว เพียงแต่ระหว่างนั้น คุณตู๋เธอกำลังแปล แมร์ด แอคชวลลี่ อยู่ เราเลยยังไม่ได้ทาบทาม กะว่าเสร็จเล่มนี้แล้วค่อยว่ากัน

...

แต่ปรากฏว่าช่วงงานมหกรรมหนังสือปลายปีที่ผ่านมา ฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ได้มีโอกาสต้อนรับขับสู้ "คุณมนันยา" ที่มาแจกลายเซ็นในงาน คุยไปคุยมาท่าไหนไม่รู้ เมื่อคุณมนันยารู้ว่าเรากำลังเตรียมแปลโมปัสซังต์ แต่ยังไม่ได้ติดต่อคนมาแปล คุณมนันยาซึ่งตอนนั้นก็งานล้นมือ ยังหลุดปากบอกเราว่า "ให้พี่เป็นคนแปลมั้ย พี่ใฝ่ฝันมาตลอดเลยว่าจะได้แปลงานของนักเขียนคนนี้ พี่ชอบงานเค้ามาก ว่าแต่ฟรีฟอร์มจะพิมพ์แน่หรือเปล่า"

...

โอ๊ะโอ! นักแปลระดับนี้เอ่ยปากขนาดนี้ ใครไม่ตกลงก็บ้าแล้ว ว่ามั้ย และแล้วในที่สุดรวมเรื่องสั้นชุดแรกของกีย์ เดอร์ โมปัสซังต์ เล่มแรกที่เราพิมพ์ออกมา จึงมีที่มาอย่างนี้เอง ส่วนเล่มต่อไป จะวางแผงในเดือนหน้านี้แล้วค่ะ ไม่ต้องรอนานเลยคราวนี้ (อ้อ ตอนนี้คุณวลัยภรณ์กำลังแปลงานนักเขียนฝรั่งเศสเล่มใหม่ให้ฟรีฟอร์มอยู่ค่ะ ซึ่งเป็นนักเขียนขวัญใจของเธอเช่นกัน เผลอ อาจจะรักมากว่าโมปัสซังต์)

...

ลองอ่านดูเถอะค่ะ แล้วจะรู้เอง

ว่าทำไมพวกเราถึงรักงานเขียนของโมปัสซังต์กันนักนะ :)

.............................

.........................

.............ใ

...............

.............................

จดหมายรักยาขอบ,จดหมายรัก'ปราย พันแสง,สินในหมึก

จากที่มีโอกาสไปยืนขายแว้บๆ ที่งานเป็นบางครั้ง ปรากฏว่าเจอคำถามชวนอึ้งจากผู้อ่านที่แวะเวียนมาช็อปที่บูธเรา น้องผู้หญิงคนหนึ่งถามฉันว่า "พี่คะ พอดีหนูซื้อหนังสือเยอะ เพิ่งเจอบูธนี้ แต่ตังค์หมดแล้ว ถ้าซื้อได้เล่มเดียว ควรซื้อเล่มไหนดี" ฉันฟังแล้วก็อึ้งๆ ปนขำอยู่สองสามวิ (คนอ่านหนังสือเนี่ย น่ารักจริงๆ นะ ฉันรักพวกคุณจริงๆ เลย) เลยถามน้องเค้าว่า น้องชอบเล่นเน็ท ชอบเขียนบล็อก หรือเว็บไดอารี่อยู่หรือเปล่า" น้องเค้าตอบว่ามีบล็อก แต่ไม่ค่อยได้อัพ แต่ชอบเขียนนะ ฉันเลยบอกว่า งั้นซื้อเล่มนี้ดีกว่า "สินในหมึก" เขาสอนวิธีเขียนหนังสือซึ่งไม่ใช่ฮาวทูเกร่อๆ บ้าๆ บอๆ ที่คนชอบสอนกัน แล้วในเล่มนี้ก็ยังมีเรื่อง "ยาขอบ-พนิดา" อยู่บ้างบางตอน เรียกว่าถ้างบน้อย ได้เล่มนี้ไป ก็ยังสามารถสัมผัสอารมณ์วาบๆหวามๆ จากความรักของยาขอบได้ด้วยเหมือนกัน (สามเล่มนี้เคยเขียนถึงไปแล้วค่ะ คลิกอ่าน จดหมายรักยาขอบ จดหมายรัก'ปราย พันแสง และ สินในหมึก )



ชุดแมร์ด ซีรีส์
ห้าหกวันที่ผ่านมาของงานสัปดาห์หนังสือปีนี้ แมร์ดซีรีส์ เป็นหนังสือที่ขายสนุกที่สุด คือคุยกับคนซื้อได้สนุกมากบางคนอ่านเล่มแรก แล้วแวะมาซื้อเล่มที่เหลือ ก็จะคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้จากหนังสือให้ฟัง แล้วก็หัวเราะกัน แม้แต่คนที่ไม่เคยอ่านมาก่อน ไม่รู้จักมาก่อน แค่บอกว่า "คุณมนันยาแปลไปหัวเราะไป"เท่านั้นแหละ เป็นคว้าหมับทุกราย

.................................

อย่างเล่ม 2 แมร์ด แอลชวลลี่ พวกเราในทีมขลุกอยู่ในกระบวนการผลิตหลายเดือน ก็ยังขำอยู่ทุกรอบ น้องกุ้งที่พิสูจน์อักษรบอกว่า "ขำมากเลยพี่ หนูอ่านรอบที่สามแล้ว ก็ยังขำอยู่" ส่วนตัวฉันว่าสนุกกว่าเล่มแรกนะ เพราะเล่มแรกเนี่ย เหมือนอีตาพอล เวสต์ จะเป็นลูกไล่คนฝรั่งเศส โดนหลอก โดนอะไรต่างๆ นานาๆ เพราะเพิ่งไปอยู่ฝรั่งเศส

.............

แต่แมร์ด 2 เนี่ย เหมือนอยู่มานานหน่อย จึงเริ่มจับทางหนีทีไล่คนฝรั่งเศสได้บ้างแล้ว ก็เลยมีสวนกลับบ้าง ตลกดี ส่วนแมร์ด 3 ทอล์ค ทู เดอะ สเนล เล่มนี้เป็นเรื่องวัฒนธรรมฝรั่งเศสแบบพอล เวสต์ คืออ่านแล้วได้ความรู้ แต่ก็ยังมีความบ้า ให้ฮาได้ ถ้าอ่านมาสองเล่มแล้ว เล่มนี้ก็ไม่ควรปล่อยให้หลุดมือค่ะ :)

...........

ทอล์ค ทู เดอะ สเนล เหมือนออร์เดิร์ฟ ในการทำความรู้จักวัฒนธรรมฝรั่งเศส เหมาะจะอ่านไว้เป็นพื้นฐาน เพราะฟรีฟอร์มกำลังมีงานแปลอีกเล่ม "ฝรั่งเศส ฝรั่งแสบ" ที่กำลังจะวางแผงตามมา ใครที่เห็นท่าว่าจะไม่พลาดแน่ อย่าลืมรองท้องด้วยหอยทากก่อนค่ะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ฮ่า :)



จริงๆ แล้วบูธฟรีฟอร์มเล็กๆ แบบนี้ คงหมาะจะต้อนรับผู้อ่านที่แวะมาช็อป ได้คราวละสองสามคนเท่านั้น จะได้ยืนเลือกหนังสือสบายๆ ไม่แออัดมาก

แต่บ่อยครั้งที่บูธเรามีสภาพนี้ :)

บางคนมายืนรออยู่นาน เข้าไปไม่ ต้องไปที่อื่นก่อน สักพักก็ค่อยแวะมาดูอีก ว่าพอจะเข้าไปได้หรือยัง มีรายหนึ่งคงติดธุระ หรือรีบกลับ มาสองรอบ ยังเข้าบูธไม่ได้ซักที มารอบที่สาม จดรายชื่อหนังสือมาห้าหกเล่ม แล้วบอกให้ช่วยส่งทางไปรษณีย์มาให้ด้วย เนี่ย ถ้าไม่พูดแบบยิ้มๆ กะเรา คงคิดว่าคนพูดหงุดหงิดมากเลยนะ --เราเองก็เกรงใจมากๆ แต่ไม่รู้จะทำไง อย่างไรก็ตาม ก็ปลื้มมากๆ ค่ะ ที่มีคนสนใจหนังสือฟรีฟอร์มขนาดนี้ ดีใจจริงๆ นะคะ ปีนี้ยังลุ้นอยู่เลย ว่าจะออกหัวออกก้อย ยิ่งคนเขาว่าเศรษฐกิจไม่ดีอยู่ด้วย แต่แฟนๆ ของฟรีฟอร์มยังเหนียวแน่นค่ะ น่าปลื้มจริงๆ :)





แบบนี้คนข้างหลังยัง พอลุ้น เราต้องลากชั้นข้างใน ออกมาวางข้างนอกอีกแถวหนึ่ง เพื่อแบ่งเบาความแออัดหน้าร้าน :)




แออัดเฉพาะหน้าร้านเราแบบนี้ บูธข้างๆ ก็มีแซวค่ะ :)







น้องฟ้า เสื้อสีม่วง นอกจากมีหนังสือพี่'ปราย ครบทุกเล่มแล้ว ตัวเธอเองยังเขียนนิยายขายด้วยนะคะ อยู่สำนักพิมพ์สีม่วงอ่อน (เก่งจริงๆ) ส่วนสองสาวสองภาพล่าง คนซ้ายมือเคยเจอกันแล้ว ในงานหนังสือคราวก่อน ส่วนน้องหน้าคมสวมแว่นคนขวา ก็อุดหนุนหลายเล่ม โดยมีชายหนุ่มของเธอช่วยเป็นตากล้อง ขอบคุณนะคะ (เสียดายจัง จำชื่อไม่ได้ คนเยอะเนอะ อยากจดไว้มากเลย แต่ไม่ทันจริงๆ)



ขวามือคือ "น้องฝ้าย" จำชื่อได้ค่ะ เพราะมาก่อนปิดร้านนิดเดียว น้องฝ้ายแวะมาซื้อหนังสือ'ปราย พันแสง ไปฝากคุณแม่"อี๊ด" ตามคำขอของคุณแม่ เธอบอกว่า "เป็นนักเขียนที่คุณแม่ชอบมากค่ะ ติดตามมาตลอดเลย" ตอนเซ็นชื่อให้ ก็แทบน้ำตาจะไหลค่ะ ขอบคุณจริงๆ น่ารักทั้งคุณแม่คุณลูกเลยค่ะ



วันนี้'ปราย พันแสง มาแจกลายเซ็นด้วยนะคะ "น้องปาล์ม" ค่ะ ลูกสาวของคุณพี่บูธข้างๆ ที่วิ่งเข้าออกบูธเรา พร้อมช่วยขายหนังสือด้วย ตอนที่ต้องเซ็นชื่อยุ่งๆ น้องปาล์มเธอก็อยากช่วยค่ะ :)

...

พวกเราชมว่า น้องปาล์มสวยจังเลย น่ารักจังเลย เธอก็บอกว่า "หนูมีพี่สาวด้วยนะ แต่ไม่สวยหรอก หนูสวยกว่า" เมื่อเราถามว่า แล้วหนูมีน้องมั้ย ปาล์มตอบว่า "หนูมีน้องอีกคนนึง แต่ไม่สวยเหมือนหนูหรอก หนูสวยกว่า เพราะน้องหัวล้าน"











น้องปาล์มบอก "ไฟท์ติ้งค่า :)"



ภาพจากบูธฟรีฟอร์ม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2552

ภาพวันที่ 5/1 [บนซ้าย] หนุ่มเสื้อขาวชื่อน้องตั้ม (ถ้าจำชื่อไม่ผิดนะคะ) มาถึงบูธก็ยื่นมือถือให้ บอก "มีคนชื่อต่าย อยู่ซิดนีย์ เค้าอยากคุยกับพี่'ปรายมากครับ" เลยได้คุยกับน้องต่ายจริงๆ น่าเห็นใจคนที่อยากมางานหนังสือแต่ไม่ได้มานะ น้องต่ายนับเป็นแฟนหนังสือที่อยู่ไกลที่สุดสำหรับวันนี้ :) [บนขวา] น้องส้ม มากับหนุ่มเสื้อเขียว ส้มเป็นแฟนหนังสือนานนนน มาก อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะน้องเค้าหน้าเด็กมาก ฮ่า [ล่างซ้าย]ถ้าจำไม่ผิด หนุ่มเสื้อลายสก็อต ชื่อคุณโบ้ย (ใช่หรือเปล่านะ) ให้เราถือป้ายชื่อด้วย ฮ่า คนนี้ก็ตามอ่านกันมานานมากเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อเลย ส่วนสองสาวเสื้อชมพูกับน้องสวมแว่นเสื้อสีน้ำตาล [ล่างซ้าย]จำได้ว่าเซ็นหนังสือกันหลายเล่ม พยายามนึกชื่ออยู่มากๆ เลย เพราะหนุ่มๆ ที่บูธถามพี่ว่าตอนเซ็นชื่อให้น้อง น้องเค้าชื่ออะไร :) แบบนี้ต้องมาอีกรอบนะคะ คราวนี้พี่ไม่ลืมแน่ :)



ภาพวันที่ 5/2[ภาพบนซ้าย] หนุ่มเสื้อลายฉายเดี่ยว เดินลิ่วมาสอย "จดหมายรักยาขอบ" ไปอย่างมั่นใจ ความว่าได้รับคำแนะนำที่เชื่อถือได้เป็นอย่างยิ่ง ใครนะใคร :) [ภาพบนขวา] ชื่อน้องวรรณ (ถ้าจำผิดขออภัยนะคะ) ดูเหมือนจะเดินหาบูธฟรีฟอร์มอยู่พักใหญ่ เพราะไม่ชินว่าเรามีบูธของตัวเองแล้ว ฮ่า [ล่างซ้าย]เซ็นหนังสือ "คนรัก เคยรัก ยังรัก" ให้สาวสวยคนหนึ่งค่ะ เสียดายที่จำชื่อเธอไม่ได้เสียแล้ว เหมือนสาวเสื้อสีน้ำเงินที่มากับหนุ่มเสื้อขาวค่ะ ถ้าแวะมาแถวนี้ก็ใบ้ๆ ชื่อให้พี่นิดนึงน้า :)





ภาพวันที่ 5/3[ภาพบนซ้าย] ชายหนุ่มสวมแว่น คือคุณจอร์จ มากับคุณวี (คนขวามือ) เป็นแฟนหนังสือ'ปราย พันแสง คุณจอร์จบอกว่า "ผมซื้อ เค้าอ่านด้วย" เสียดายว่าสาวสวยสวมหูฟังนั้น จำชื่อไม่ได้ค่ะ [บนขวา] ถ่ายภาพกับ "น้องจ๋า" ที่บอกว่าเป็นแฟนหนังสือ'ปราย พันแสง ตั้งแต่อายุห้าขวบ เพราะที่บ้านคุณพ่อรับนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์เป็นประจำ ตอนนี้น้องจ๋าเรียนแพทย์ปี 1 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ [ล่างขวา]สาวเสื้อแดงกับสาวฟ้า (ผ้าคลุมไหล่สีน้ำตา) แก๊งสาวป่วนประจำวัน แอบหนีงานบูธอื่นมาป้วนเปี้ยนบูธเราเป็นประจำ ส่วนอีกสาว (ภาพล่างขวา) คือ"น้องจี"บรรณาธิการเวิร์คพอยท์พับลิชชิ่ง วันนี้คาดผ้ากันเปื้อนตราเวิร์คพอยท์ มาซื้อหนังสือ "ร้านชำสำหรับคนอยากตาย"และ "คนรัก เคยรัก ยังรัก" พร้อมบังคับให้พี่'ปรายเซ็นชื่อให้ด้วย ไม่เว้นกระทั่งหนังสือ "ร้านชำฯ" แม้จะบอกว่าพี่ไม่ใช่คนเขียนก็ตาม :)




ภาพวันที่ 5/4 ชุดนี้ก็แฟนพันธุ์แท้เหมือนกัน โดยเฉพาะคุณเสื้อแดง จริงๆ ขายหนังสืออยู่บูธถัดจากเราไปสองสามบูธอีก แต่แวะมาช็อปที่บูธเราหลายเล่มเลย ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ส่วนสาวๆ ที่ยังไม่ได้เอ่ยถึง ไม่ใช่อะไรค่ะ จำชื่อไม่ได้อีกล่ะ กล้องเนี่ย น่าจะบันทึกเสียงได้ด้วยนะ :)







ภาพวันที่ 5/5 [ภาพบนซ้าย]สาวเสื้อสีเทา ถือหนังสือ "มิสยู" ชื่อน้องผักบุ้ง แวะมาตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้มาอีก จึงได้ลายเซ็นในหนังสือกลับไปด้วยสมความตั้งใจ ขอบคุณนะคะน้อง :) [ภาพล่างซ้าย] หนุ่มเสื้อสีชมพูกับสาวเสื้อดำ ขอบคุณมากๆ เหมือนกันค่ะ อุดหนุนฟรีฟอร์มหลายเล่มเลย อ่านหนังสือด้วยกันได้เนี่ยประหยัดดีจังเนอะ [ภาพล่างขวา]น้องนิวคนสวย พนักงานขายของเราอีกคน จากคณะศิลปศาสตร์ฯ เช่นกัน วันนี้น้องนิวสลับขายกับน้องแพรซึ่งหยุดไป


ภาพจากบูธฟรีฟอร์ม เมื่อวันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2552 (วันสุดท้ายของงานสัปดาห์หนังสือปีนี้แล้วค่ะ)

ภาพวันที่ 6/1

ภาพวันที่ 6/2



ภาพวันที่ 6/3



ภาพวันที่ 6/4




ภาพวันที่ 6/5


ภาพวันที่ 6/6



ภาพวันที่ 6/7


ภาพวันที่ 5/8


ภาพวันที่ 6/9




ภาพวันที่ 6/10


ภาพวันที่ 6/11


ภาพวันที่ 6/12










ตกหล่นชื่อเสียงเรียงนามของบางท่านไปบ้างอย่าถือสาเลยนะคะ ขอบคุณมะโหน่งและน้องแทมสำหรับภาพถ่ายที่เห็น ขอบคุณทุกคนในภาพถ่ายที่ทำให้บูธฟรีฟอร์มมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะ อ๊า พูดเหมือนจะขึ้นรับออสการ์ ฮ่า แต่อยากขอบคุณจริงๆ ค่ะ ขอบคุณทุกคน ที่ทำให้อีกวันในชีวิตของคนเขียนหนังสือตัวเล็กๆ คนหนึ่งมีความหมายขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ :)




space 10

space 10

space 06

space 06

space 05

space 05

space 04

space 04

space 02

space 02

slow life in pai 23

ปายไม่มีแจ็คพ็อต! ช้าๆ นะช้าๆ ไม่ต้องรีบล่าแต้ม :) หลายปีมานี้มีหนังสือนำเที่ยวปายตีพิมพ์ออกมาหลายเล่ม เราจะพบคำแนะนำเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ของปาย ไม่ว่าจะเป็น กองแลน น้ำตกหมอแปง หมู่บ้านจีนยูนนาน ฯลฯ อันที่จริง ถ้าหาทางมาถึงปายจนได้แล้ว ที่เหลือก็ไปต่อเองสบายๆ แล้ว เพราะ เมืองปายมันเล็กนิดเดียว มาถึงวันแรกวันเดียวก็เที่ยวได้เกือบทะลุปรุโปร่งแล้ว .คลิกอ่านต่อ

slow life in pai 22 from Chiangkan to Pai

last update : Feb,18-2010.... เมฆบางๆ ใจเบาๆ นั่งเรือเก่าๆ ข้ามฝั่งแม่น้ำโขง ...เบิ่งลาว หลายคืนวันในเชียงคาน จากการได้อาศัยกินอยู่ซุกหัวนอนและเที่ยวเตร็ดเตร่ไปตามซอกเล็กซอกน้อยริมโขง ก่อนจะกลับเข้ารังนอนของแต่ละวัน เราจะต้องมานั่งๆ นอนๆ ยืนๆ สูดลมเย็นริมแม่น้ำโขง มองดูพระอาทิตย์ค่อยๆ ลับลงตรงที่ภูเขาและแม่น้ำจรดกัน

slow life in pai 21 from Chiangkan to Pai

last update: Feb,17-2010
ค่ายนักเขียนน้อยเชียงคาน ฉันไม่แน่ใจหรอกว่า การสอน"เขียนหนังสือ"นั้น มันจะได้ผลแค่ไหน และมันสอนกันได้อย่างไรแน่ ทฤษฎีการเขียนนั้นมีอยู่มากหลาย แต่มีกี่คนที่ใช้ได้ผล ที่สำคัญ ไอ้ที่เราเขียนเองนั่นน่ะ มันดีแล้วหรือ จึงสะเออะไปสอนคนอื่นเขา :) การสอนเรื่องการเขียนสำหรับฉัน มันมีคำถามมากมายอย่างนั้นแหละ คลิกอ่านต่อ

slow life in pai 20 from Chiangkan to Pai

last update : Feb,16-2010 หวิวไม่หวิว :) ฉันเป็นโรคประหลาด คือเวลาไปเที่ยวไหน จะไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นกับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ของเขาเท่าไหร่ อย่างตอนไปปารีส ก็ไม่ได้เคยนึกว่าจะต้องไปดูหอไอเฟล หรือจะต้องขึ้นไปบนนั้นให้ได้ เหมือนกับตอนที่ไปพิพิภัณฑ์ลูฟว์ครั้งแรกในชีวิต ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องไปต่อคิวดูภาพโมนาลิซ่ากับเขาแต่อย่างใด คลิกอ่านต่อ

slow life in pai 19 from Chiangkan to Pai

last update : Feb,17-2010 เถ้าแก่ลาว และยามเช้าริมแม่น้ำโขง เถ้าแก่ลาวเป็นชื่อเกสต์เฮาส์เล็กๆ ในเชียงคานที่เราได้มีโอกาสแวะไปพักอีกแห่งหนึ่ง โดยดูจาก "หลังบ้าน" ก่อนจะวิ่งมาดูหน้าบ้านอีกเช่นกัน เกสต์เฮาส์แห่งนี้ มีห้องพักอยู่เพียงสามสี่ห้อง ห้องสวยที่สุดอยู่บนชั้น 2 มีระเบียงส่วนตัวชมแม่น้ำโขงที่สวยเลิศ คลิกอ่านต่อ
...

slow life in pai 18 from Chiangkan to Pai

last update : Feb,15-2010 ของกินริมโขง มากมายมากมี.งานเขียนของ"น้องหมิว หมูหวาน"เรณุมาศ พลพันธ์ นักเรียนชั้นม.5/2 โรงเรียนเชียงคาน น้องหมิวเป็นนักเรียนสังกัดค่ายอบรมนักเขียนน้อยสีชมพูของ'ปราย พันแสงนั่นเองล่ะค่ะ ขอโปรโมทนิดนึงนะ เพราะน้องเค้าเขียนได้น่ารักน่าแซ่บมากจริงๆ เสียดายลืมถ่ายรูปส้มตำเชียงคานมาประกอบเรื่องด้วย แต่เอาน่า แค่ตัวหนังสืออย่างเดียวก้อ "น้ำลายแตก" แบบที่น้องเค้าว่าเหมือนกัน คลิกอ่านต่อ ...

slow life in pai 17 from Chiangkan to Pai Madam

last update : Feb,14-2010 เรื่องรักในเชียงคาน เมื่อราตรีประดับดาวและหยาดน้ำตา ในความคิดถึงของมาดามวารินชำราบ "มีเพลงหนึ่งนะ ที่พี่ชอบมาก แต่เปิดฟังอีกไม่ได้เลยหลังจากอาเสีย" เป็นคำเอื้อนเอ่ยแบบปัจจุบันทันด่วนของ "พี่ติ๋ม"สุมาลี วงษ์สวรรค์ เธอคือ"มาดามวารินชำราบ"ตัวละครที่นักอ่านไทยแสนจะคุ้นเคย ในฐานะภรรยาของพญาอินทรีแห่งสวนอักษรที่เพิ่งโบยบินจากเราไปจิบไวน์อยู่บนฟ้า ...'รงค์ วงษ์สวรรค์ คลิกอ่านต่อ

slow life in pai 16 from Chiangkan to Pai

last update: Feb,13-2010 เชียงคาน เมืองไม้เก่าชายโขง อดีตที่คล้ายไม่ยอมผ่านไปง่ายๆ แต่ก็จะไม่ยอมหวนคืนมาให้ทั้งหมด.ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของสมาคมคนถ่ายภาพไม่เป็น ฉันชอบความรู้สึกตอนที่กำลังถ่ายภาพอยู่ในเชียงคานเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตอนยืนอยู่บนถนนชายโขงที่ว่างเปล่า ไม่มีผู้คนเดินอยู่เลยแม้แต่คนเดียว วันนั้นฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา มันเป็นยามเช้าของวันจันทร์อันเงียบกริบ เงียบจนฉันได้ยินเสียงหายใจตัวเอง............ .. คนอ่าน

slow life in pai 15 from Chiangkan to Pai

last update: Feb,12-2010 รักลาว รักเลย กลับปาย :)."รักลาว รักเลย กลับปาย" เป็นข้อความที่ฉันพิมพ์ใส่ไว้ในจอ msn ตั้งแต่เมื่อวาน ...คิดไว้เหมือนกัน ว่าพาดหัวตัวไม้ไว้แบบนี้ คงมีข้อความแปลกๆ ส่งเข้ามาหาอยู่บ้าง แต่บางข้อความ ต้องยอมรับว่า เหนือความคาดหมาย เช่นว่า "ตกลงไม่รักปายแล้วหรือพี่" ....คลิกอ่านต่อ ...

slow life in pai 14

last update: Feb,12-2010 อันหัวใจคนเรา นั้นเท่ากลีบมะเฟือง :) .. เช้าวันนี้ ตื่นขึ้นด้วยอาการกระแอมกระไอระคายคอเล็กน้อย เหตุคงมาจากเมื่อค่ำวานนั่นปะไร มิใช่อื่น ... เรื่องของเรื่องคือ นั่งทำผมอยู่ดีๆ ไฟฟ้าดันดับพรึ่บซะงั้น อยากจะขำว่ะ อยากจะหัวเราะดังๆจริงว้อยยยยยยยยย (กรรมเวร... ขำชาวบ้านเขาเอาไว้เยอะ)แต่มันไม่ค่อยขำ ไม่ฮาเอาเลยแฮะ เพราะเมื่อวานคิดว่าจะกลับบ้านเร็ว ...เลยไม่ได้เอาเสื้อกันหนาวติดมือไปด้วย...........คลิกอ่านต่อ ... 8

slow life in pai 12

last update : Jan 24-2010 The World We live in. .การอยู่อาศัยบนดาวเคราะห์ดวงนี้ คุณต้องเข้าใจด้วยว่า ... 1.โลกไม่ได้หมุนรอบตัวคุณคนเดียว อย่าเวอร์ 2."ความเห็นก็เหมือนตูด ใครๆ ก็มี" บางทีทัศนคติของคุณก็ไม่ได้สำคัญอะไรนักหรอก เก็บๆ ไว้หน่อยก็ได้ ฝีมือ ความรู้ ความสามารถ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ สำคัญกับโลกนี้มากกว่าลมปาก 3.บางคนได้คืบจะเอาศอก ถ้าโลกนี้ไม่เคยขาดแคลนเผด็จการเลย ก็ไม่ต้องแปลกใจ 4.ไม่มีอะไรสำคัญกับชีวิตเกินกว่าจะปล่อยมันไป คลิกอ่านต่อ

slow life in pai 11

last update: Jan 15-2010เที่ยวเมืองน้อย อีกซอกมุมเล็กๆ น้อยๆ ของปาย ..เช้านี้พวกเราสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ เพราะเรามีกำหนดออกเดินทางไปเที่ยวเมืองน้อยกัน โดยนัดเจอกันที่หน้าร้านตอนแปดโมงเช้า ฉันตั้งเวลาปลุกไว้ 7 โมงเช้า แต่กว่าจะลุกออกจากที่นอนไปอาบน้ำอาบท่าได้ ก็ปาเข้าไปเจ็ดโมงครึ่ง กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็แปดโมงพอดี แต่กระนั้น ฉันใช้เวลาขี่จักรยานออกจากบ้านไปยังจุดนัดหมายของเราโดยใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้นเอง ปายก็น่ารักน่าอยู่อย่างนี้แหละ เมืองมันเล็กนิดเดียว ไปไหนมาไหน ก็ใช้เวลาแค่นิดเดียวเท่านั้น .......คลิกอ่านต่อ
...

slow life in pai 10

last update : Jan,12-2010 ปาย : ไม่ได้แปลว่าบังเอิญ วันนี้เรามีลูกค้าคนสำคัญคือน้องออม เป็นนักร้องบอสซ่าสาวเสียงสวยอีกคนของเมืองปาย เธอร้องประจำร้านในปายหลายที่ แถมยังเป็นลูกค้าขาประจำร้านหนังสือฟรีฟอร์มของเราด้วย เธอแวะมาซื้อหนังสืออ่านบ่อยๆ จนสนิทสนมคุ้นเคยกับคนที่ร้านเราเป็นอย่างดี คลิกอ่านต่อ

slow life in pai 9

last update :jan, 11-2010
ปีใหม่วันที่ 11 :) ... แผนลับอัพบล็อกแตกโพละไปหลายวัน หายจ้อยไปดื้อๆ เสียอย่างนั้น เจ้าของบล็อกก็มิได้นิ่งนอนใจ รู้สึกผิดอยู่ทุกวั้น ทุกวัน เพราะประจานตัวเองเอาไว้บนหน้าบล็อกอย่างโจ่งแจ้งเสียอย่างนั้น ก่อนปีใหม่หลังปีใหม่ปีนี้ ชีวิตวุ่นวายหลายเรื่อง ที่กินเวลาแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของชีวิตคือเรื่องร้านหนังสือ ส่วนอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องการขายของ จัดของ สั่งของ เท่านี้ก็หมดไปแล้วสิบเอ็ดวัน คลิกอ่านต่อ.....

slow life in pai 8

last update: Dec , 28-2009 ........................... 15 เรื่องที่คนขายเสื้อยืดรู้ดี [แต่คนทำหนังสือนี่สิคงไม่ค่อยรู้!:] 1.ผู้คนส่วนใหญ่มักจะซื้อเสื้อยืดที่มีขนาดเล็กกว่าที่ตัวเองจะสวมใส่ได้ประมาณ หนึ่งไซส์อยู่เรื่อยๆ ..2.ผู้หญิงอาการหนักกว่าผู้ชาย บางทีควรจะใส่ไซส์ L แต่กลับซื้อไซส์ S เข้ารูปเสียนี่ คนขายลำบากใจนะจะบอกให้ ...........คลิกอ่านต่อ

slow life in pai 7

last update: Dec , 27-2009
ปายอีกหนึ่งวัน อีกหนึ่งคืนแห่งสีสัน
[โหด ฮา มันส์ แอนด์ยุ่งเหยิง]
...
ในปา

slow life in pai 6

last update: Dec , 26-2009 ...........................
เมื่อฮันนีมูนกำลังจะสิ้นสุด
ในปายมีใบไม้รูปหัวใจเยอะแยะไปหมด ที่อื่นคงมี แต่เราอาจจะไม่ได้สังเกตเห็น เมื่อครู่ฉันนั่งจัดไฟล์ภาพในคอมพิวเตอร์เพื่อจัดเก็บลงฮาร์ดดิสค์ ไปเจอภาพใบไม้เหล่านี้เข้า ตอนที่เก็บข้าวของมาอยู่ปาย เป็นช่วงหน้าฝน ใบไม้ใบหญ้าเขียนชอุ่มละออตาไปหมด ฉันนึกถึงความรู้สึกของตัวเองตอนมาอยู่แรกๆ มองไปทางไหนก็สวยงามไปหมด คงเหมือน "ช่วงฮันนีมูนกับปาย" อย่างที่พี่คนหนึ่งเคยแซวไว้ คลิกอ่านต่อ

slow life in pai 5

last update: Dec , 25-2009 ........................... คริสต์มาสและความคิดถึง :) กำลังเก็บข้าวของ ย้ายห้องอีกครั้ง ปีใหม่วันหยุดยาวนี้ ญาติมิตรมีโครงการแวะมาเยี่ยมเยือนที่ปายหลายคน ที่พักสำหรับผู้มาเยือน จึงเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนสำหรับฉันในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนสิ้นปีนี้ ...คลิกอ่านต่อ
...

slow life in pai 4

last update : Dec,24 -2009
ปอ-อะ-ยอ-ปาย
Pai = ปาย หนังสือนำเที่ยว Lonely Planet อธิบายไว้ว่า Pai: pronounced like the English word ‘bye’ not ‘pie’ หมายถึงนครเมกกะของนักเดินทาง (Traveler’s Mecca) ครั้งหนึ่งในชีวิตชาวมุสลิมแท้จริง ต้องจาริก “เมกกะ” ให้ได้สักครั้งฉันท์ใด นักเดินทางที่แท้จริงย่อมจาริก “ปาย” ให้ได้สักครั้งฉันท์นั้น
.... .............................................................
Tourist = นักท่องเที่ยว คนที่ท่องเที่ยวชั่วครั้งชั่วคราวแล้วกลับบ้าน ไปทำงาน ใช้ชีวิตตามปกติ
... ............................................ ............................................. Traveler = นักเดินทาง คนที่ไม่ทำงานทำการ เอาแต่เดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ นานเป็นเดือน เป็นปี บางทีออกเดินทางท่องเที่ยวแล้วไม่ยอมกลับบ้านอีกเลยก็มี บางคนแต่งงาน ปลูกบ้าน หางานทำในแหล่งท่องเที่ยวที่ตนชอบ เช่นในปาย-มีเยอะ ............คลิกอ่านต่อ

slow life in pai 3

last update: Dec,23-2009 .. บางแง่มุมที่สวยงาม อย่างน้อยก็ในความรู้สึก............. [เรื่องตุบๆใต้อกเบื้องซ้าย]
พักนี้นอนดึกตื่นสาย บางทีสิบเอ็ดโมง เที่ยง ยังนอนห่มผ้านวมสองผืนเฉยเลย ตื่นมากว่าจะจัดการกาแฟกับมื้อเช้าเล็กๆ น้อยๆ ด้วยขนมนมเนยชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากร้านเซเว่นอีเลฟเว่นที่เตรียมไว้ ก็ปาเข้าไปบ่ายแล้วก็มี นี่แหละชีวิตในปาย เหมือนเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนก็ได้ แต่ฉันรู้สึกผิดทุกครั้งที่ตื่นสาย ...คลิกอ่านต่อ
....

slow life in pai 2

last update: Dec , 22-2009 ........................... ด้านมืดของปาย ...หรือ'ปราย :)... [โปรดระวังปอดบวม]
....
วันนี้นั่งคุยยาวนานกับใครบางคนถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ บังเอิญว่าเมืองนี้มันดีเลย์เสมอ หรือก้าวถอยหลังอยู่เรื่อยอย่างไรไม่ทราบ ใครคนนี้ก็ดั๊นเพิ่งได้อ่านมติชนสุดสัปดาห์เล่มเก่าๆสองสามเดือนก่อน ฉบับที่ฉันเขียนถึงปายเอาไว้บ้างสักตอนสองตอน อ่านแล้วคงไม่ค่อยรู้เรื่อง จับอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ จึงยิงคำถามยากๆ ทำให้ฉันอึ้งอยู่เรื่อย ... คลิกอ่านต่อ
....

slow life in pai 1

last update :Dec ,21-2009
วันก้าวถอยหลัง
จุดเริ่มต้นแห่งความเฉื่อย?
วันอาทิตย์ 20 ธันวาคม 2552 วันนี้เป็นวันแรกในรอบหลายเดือนมานี้ ที่ฉันไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเลย ไม่ไปร้าน ไม่ไปไหนเลย โอ้ เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน หลายวัน เพราะฉันมักมีเหตุต้องออกจากบ้านตลอดเวลา ....คลิกอ่านต่อ

หนังหน้าเสื่อ เทค 1

last up date : Dec, 20-2009 เบื้องหน้า เบื้องกลาง เบื้องหลัง เทศกาลหนังหน้าเสื่อ-ปาย เทค 1 ....
ในที่สุดการทดลองจัดฉายหนังกลางแปลงครั้งแรกในปาย (ของพวกเรา) ก็ลุล่วงไปด้วยดี หลังจากก่อนหน้านี้ พวกเราต่างวิ่งวุ่นช่วยกันลุ้นมาหลายวัน ทั้งทำโปสเตอร์ ซีร็อกซ์ใบปลิว ไปเดินแจกในย่านชุมชน วางในร้านอาหาร ......... ...คลิกอ่านต่อ
...

เหตุเกิดในร้านหนังสือฟรีฟอร์ม

เหตุเกิดในร้านหนังสือฟรีฟอร์ม-ปาย "ซื้อเสื้อ แถมหนังสือได้มั้ย" ... หลายปีของชีวิตที่วนเวียนคลุกคลีอยู่ในแวดวงหนังสือหนังหา จนกลิ่นกระดาษ กลิ่นหมึกแทบจะกลายเป็นหนังกำพร้าชั้นใหม่ไปแล้ว แต่ไม่เคยเลย ที่ฉันจะต้องใช้พลังกายพลังใจอย่างมากมายมหาศาลเหมือนการทำร้านหนังสือฟรีฟอร์มในปายคราวนี้ .......คลิกอ่านต่อ ...คนอ่าน

ETin+story

คิดแบบอีตี๋นนน นนนน....นนนน ......
อีติ๋น หรืออีตี๋นขาว คือแมวดำตีนขาวตัวหนึ่งใน อ.ปาย ที่ชาวบ้านเรียกกัน อีตี๋นขาว มีชื่อจริงว่า “แองเจลล่า” เป็นชื่อที่เจ้าของมันตั้งให้ เจ้าของอีตี๋นเป็นฝรั่งตัวใหญ่ กล้ามโต มีรอยสักน่าเกรงขามเต็มแขน ฟังมาว่าเคยเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเยือนปายหลายครั้ง ก่อนตัดสินใจพำนักแบบ long term โดยเช่าบ้านอยู่ในปายล่ำสันนานเป็นปีๆ โดยไม่มีกำหนดกลับ เจ้าของอีติ๋นมักจะร้องเรียกหามันตอนค่ำให้มากินข้าวปลาว่า “แอ่งเจ๊ลลลหล่า แอ่งเจ๊ลลลลลลลล้า ม่ำ ม่ำ ม่ำ” ............. คนอ่าน

So Proud to Present

So Proud to Present มืออาชีพ ไม่รู้จักคำว่าออกตัว :) Last update : July 18-2009 ....วันก่อน บรรณาธิการคนหนึ่งของฟรีฟอร์ม ต้องติดต่อกับนักเขียนใหญ่ชื่อดัง เธอออกตัวไว้ในจดหมายบางเรื่อง กับการเป็นบรรณาธิการมือใหม่ของเธอ พอดีเธอส่งจดหมายมาให้อ่านก่อน ฉันก็เลยตัดทิ้งไปหลายคำ ส่วนที่ตัดไปเธอไม่ว่าอะไร--แต่เธอติดใจว่าทำไมเธอจึงออกตัวบ้างไม่ได้"การออกตัวคือการถ่อมตัว ทำไมวงการนี้ต้องโชว์พราวด์ใส่กันเหรอ" เธอว่ามาอย่างนั้นฉันก็เลยต้องอธิบายให้เธอฟังยืดยาว พราวด์หรือเพราด์ของเธอมาจากภาษาอังกฤษคำนี้ Proud \ Proud\,Feeling or manifesting pride, in a good or bad sense; as:(a) Possessing or showing too great self-esteem;overrating one's excellences; hence, arrogant;haughty; lordly; presumptuous.[1913 Webster] …..คลิกอ่านต่อ

PAI--LOW SEASON, HIGH SPIRIT 1

'ปาย'ฝันที่ไม่ได้ฝัน

...กลางฤดูฝ

เมื่อคุณใช้ชีวิตบนโลกนี้มาสักช่วงหนึ่ง ผ่านพบความเป็นไปของโลกมาแล้วพอสมควร คุณจะรู้เลยว่า ชีวิตคนเรานั้นไม่ต้องการอะไรมากมาย นอกจากแค่อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของมัน แค่อยากให้ทุกอย่างอยู่ในที่ทางของมัน โดยไม่ต้องรีดเค้นจากตัวเองหรือใครให้มากมาย คลิกอ่านต่อ

............ คนอ่าน

ของมันแตกได้ , รงค์ วงษ์สวรรค์

บทรำพึง...
คิดถึงคนบางคน
ที่กำลังจิบไวน์บนฟ้า.. ภาพจาก tuneingarden.com
Last update: July,04-2009 ......................
ใครเขียนหนังสือมาบ้างจะรู้ เวลาไม่ได้เขียนอะไรนานๆ มันจะฝืด อาปุ๊-'รงค์ วงษ์สวรรค์ เคยพูดกับฉันว่า "ตอนอาหนุ่มๆ นะ อาเขียนชิบหาย คิดอะไรหน่อย เห็นอะไรหน่อย อยากเขียน แล้วก็เขียนออกมาได้มหาศาล บางทีกลับไปอ่าน ยังรู้สึกว่ามันต้องแก้ตรงนั้นแก้ตรงนี้ คือสมัยหนุ่มจะแรงดี แต่งานเขียนอาจจะไม่ค่อยดีเหมือนตอนแก่"...ฉันก็ว่า "อุ๊ย อา ยิ่งดีสิคะ ยิ่งแก่ยิ่งเขียนกระจายไปเลยสิ ดีจะตาย"แต่อาปุ๊ตอนนั้นนั่งรถเข็นมาร่วมงานหนังสือมติชนที่เชียงใหม่ตอบฉันว่า"ตอนแก่นี่ ความคิดดีๆ มันเยอะก็จริง แต่ไม่ค่อยมีแรงเขียนว่ะ"...คลิกอ่านต่อ.............. ......... *... ...คนอ่าน .........47 ความคิดเห็น
............................................................
............................................................
............................................................
............................................................
...........................
ของมันแตกได้ ...ย่อมแตก
เคยมีสักวันหรือเปล่า ที่คุณถามตัวเองว่า "ตรูทำบ้าอะไรลงไปฟระเนี่ย" ฉันลองมานั่งนึกดู วันนี้เป็นความบ้าแห่งชีวิตฉันโดยแท้จริง ---แล้วมันก็ทำให้ฉันนอนไม่หลับอีกต่างหาก บอกตัวเองแล้ว--ต้องท่องคำว่า "ช่างแม่ง!" --- ให้ขึ้นใจ แล้วเอ็งจะมีชีวิตบนโลกนี้อย่างมีความสุข เอาเข้าจริง มันก็ "ช่างแม่ง" ไม่ได้ทุกทีหรอก..........คนอ่าน

โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ - หวงเยวี่ยน

น้ำตาแชมป์โลก... โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์
Last update : June,10-2009
เมื่อคืนก่อน (June,7-2009) มีการถ่ายทอดสดแข่งขันเทนนิสรอบชิงชนะเลิศ French Open 2009 ประชันฝีมือชั้นเทพระหว่างโรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ กับ โรบิน โซเดอร์ลิง นักเทนนิสดาวรุ่งมือวางอันดับ 23 จากสวีเดน รอบนี้ ถึงแม้จะพ่ายแพ้เฟดเดอเรอร์ แต่โซเดอร์ลิงก็เลื่อนพรวดข้ามชั้นมาเป็นมือวางอันดับ 12 ของโลกแล้วตอนนี้ ใครนั่งดูอยู่เหมือนกันล่ะก็..เราอาจจะรู้สึกเหมือนกันนะ ว่ามันเป็นการดูการแข่งขันเทนนิสที่สนุก ระทึกใจเป็นที่สุด จนแทบไม่อยากจะลุกหนีจากหน้าจอไปไหน แม้กระทั่งจะลุกไปเข้าห้องน้ำ....... คนอ่าน
.................................................
..............................................................
................................................................ ............
อีกวันหนึ่งกับหวงเยวี่ยน และอื่นๆ อีกมากมาย “ระเบิดแห่งความสุข” ถูกจุดขึ้นตอนบ่ายสองกว่าๆ ของวันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม ในซอยทองหล่อ 10 ณ ร้านหนังสือบุ๊คมาร์คของ The Third Place เราจึงเชื่อว่ามิตรภาพจากคนแปลกหน้าสามารถสร้างเสียงหัวเราะได้จริง ซึ่งเป็นงานเปิดตัวหนังสือเล่มล่าสุด”ผู้ชายเหมือนระเบิด” จากฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ ..... คนอ่าน

ฉันฝันว่าฉันฝัน

I I Dreamed a Dream ซูซาน บอยล์ ฉันฝันถึงความฝันในวารวันที่ผ่านเลย ยามที่เคยวาดหวังไว้ยิ่งใหญ่ ยามที่ชีวิตยังมีความหมาย ผนึกต่อลมหายใจในกายา ฉันเคยฝันว่าความรักนั้นไม่เคยตาย ฉันเคยฝันว่าพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ยังเมตตา เมื่อครั้งที่ฉันเยาว์และหาญกล้า..ฉันปั้นฝันนั้นมาแล้วทิ้งไป ...

วันชาติชาวหนอน

แล้วเราก็เจอกัน ในวันชาติของชาวหนอน ปีนี้ฟรีฟอร์มเพิ่งมีบูธเป็นของตัวเอง หลังจากที่ไปฝากบูธอื่นขายมาหลายรอบ บูธเราเป็นบูธเล็กๆ ขนาดสองคูณสามเมตร ที่ทางผู้จัดงานใช้พลาสติกใสๆ มากั้นเป็นล็อกๆ ให้เราใช้วางหนังสือจำหน่ายในงาน บูธเล็กขนาดนี้ต้องใช้เวลาจัดอยู่ตั้งหลายชั่วโมง............คนอ่าน

สิ่งที่เรียนรุ้

............ บ
สิ่งที่ข้าพเจ้าเรียนรู้จากวันนี้ พวกเราทีมงานฟรีฟอร์ม อยู่โยงเฝ้าออฟฟิศกันดึกดื่นเพื่อเก็บงานหนังสือชุดสุดท้ายส่งโรงพิมพ์ ซึ่งกว่าจะเสร็จสิ้นก็ปาเข้าไปเกือบตีสอง
...
ช่วงนี้ ฉันออนเอ็มเอสเอ็นเกือบทั้งวันทั้งคืน แต่ไม่ค่อยได้คุยกับใคร นอกจากส่งลิงค์ ส่งไฟล์งาน ให้คนทำกราฟิคที่นั่งอยู่ในห้องเดียวกัน (ซะงั้น) บางคนเข้ามาคุยด้วย แต่ไม่ได้คุยตอบ ก็งอนกันไปหลายราย...คนอ่าน

...................
.................

รักเธอ กอดคนอื่น

สิบปีล่วงแล้ว....รักเธอ....กอดคนอื่น ถ้อยคำที่ผู้คนมักเข้าใจผิด!.ถ้าคุณค้นหาคำว่า"รักเธอ.กอดคนอื่น"ในกูเกิ้ล.มันจะมีมากกว่า.172,000.ลิงค์-ปุจฉาวิสัชนา.ว่าด้วยไม่รักก็กอดไม่ลง?ได้กอดทุกคนที่รัก?รักทุกคนที่กอด?--เอ๊.ยังไง?.. คนอ่าน

Bird in the tree

นกบนกิ่งโมก ยามบ่ายในฤดูฝนอบอ้าวนัก ฉันตัดสินใจอาบน้ำอีกรอบแล้วนอนหลับเสียให้เข็ด การนอนนอกจากจะเป็นการพักผ่อนดีที่สุดแล้ว.มันยังเป็นการ‘หนี’ทุกอย่างได้ดีที่สุด... ...คนอ่าน

pooh

แค่อยากรู้ เธอยังไม่ลืมฉัน.ภาพมิตรภาพแสนซื่อ.ขณะพิกเล็ทเดินตามหมีพูห์ต้อยๆ.รอยเท้าคู่เล็กๆ.ย่ำไปบนหิมะ.เคียงข้างกับรอยเท้าของพูห์ไปตลอดทาง.เป็นความอบอุ่นในหัวใจที่ทั้งสองทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

The Road Not Taken

ว่าด้วยวิธีเดินทางในเส้นทางที่ไม่ค่อยมีคนเดิน.:).ยามใดที่ชีวิตต้องมีเรื่องให้คิดถึงบทกวีบทนี้.สิ่งที่รบกวนจิตใจฉันเสมอก็คือ“ชื่อ”ของบทกวีบทนี้...ฉันมักสงสัยว่าทำไมโรเบิร์ต.ฟรอสต์.จึงให้ค่ากับ“ทางที่ไม่ได้เลือก”ถึงเพียงนี้…ชื่อของมันน่าจะเป็น...

drink

คุณดื่มวงการไหน?.เราคบกัน คุยกัน กินดื่มด้วยกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่อกันบ้าง ช่วยเหลือกันบ้างบางที ตามความรู้ความสามารถ ตามกำลังที่มี เท่าที่รู้เท่าที่เห็น หลายสิบชีวิตในวงการนักเขียนที่ฉันคลุกคลี ล้วนแล้วแต่มี..

HNY 2007

สิ่งที่ชีวิตน้อยๆ.ของข้าพเจ้าได้เรียนรู้ในรอบปีที่ผ่านมาวัฒนธรรมการอ่านของมนุษย์ออนไลน์นั้นไม่ค่อยสร้างสรรค์เท่าไหร่เลยค่ะ อาจเป็นเพราะชินกับการอ่านของฟรีมากไป จนไม่รู้สึกว่าต้อง"จ่าย"อะไร.แม้แต่คำทักทายกันสักคำ

Sriburapa

บ่ายวันหนึ่งในบ้านศรีบูรพา..เรื่องบางเรื่องในโลกเรา บางทีก็แปลกดี ฉันเพิ่งตอบคำถาม นิตยสารไฮคลาส ไปเมื่อไม่นานนี่เอง เกี่ยวกับนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้...คนสัมภาษณ์ถามฉันว่า ...

paradise lost

PARADISE LOST:จิมมี่ เลี่ยว.พาราไดส์.ลอสต์-เป็นเรื่องราวมิตรภาพความผูกพันของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตจำนวนหนึ่ง (จะเรียกว่าคนก็กะไร เพราะบางอย่างก็เหมือนจะไม่ใช่)มารวมตัวกันอยู่ในดินแดนหนึ่ง ที่ซึ่งพวกเขาทุกคนล้วนเข้าอกเข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่ละชีวิตมีปมด้อย มีบาดแผล มีความพิการ มีความบกพร่อง จนทำให้โลกภายนอกปฏิเสธพวกเขา แต่ในดินแดนพาราไดส์ลอสต์แห่งนี้ ทุกชีวิตมีอิสระเสรี เพราะมีผู้ที่เข้าใจ [คลิกอ่านต่อ]

เขียน เขียน และเขียนต่อไปเถิด

เขียน...เขียน...และเขียนต่อไปเถิด.เมื่อวานรื้อกรุสมบัติที่บ้าน.เจอเศษกระดาษเหลืองกรอบแผ่นหนึ่ง.เป็นชิ้นส่วนที่ฉีกออกมาจากนิตยสาร.Writer’s.Digest.ปี 1991 ว้าว!ฉันเก็บเจ้าเศษกระดาษชิ้นนี้มาสิบแปดปีแล้วหรือนี่... คนอ่าน

Kylie X Tour2008

ช้านร้ากเธอ...ไคลี่ มิน็อกซ์ la ..la..lala บันทึกหลังควันจางๆ จากข้างเวทีไคลี่เอ็กซ์ Kylie X 2008 World tour live in Bangkok 23 Nov.2008 อิมแพค เมืองทอง.. ...คนอ่าน

Poomsaron

ภูมิซรอล อ่านว่า พูม-สะ-รอน -เพลงใหม่คาราวาน จากอัลบั้ม โลกร้อนคนละลาย 2 คืนวันเสาร์ที่ผ่านมา คนข้างเคียงชวนไปชม "คอนเสิร์ต คาราวาน โลกร้อนคนละลาย ครั้งที่ 2"...คนอ่าน

ban jim party

อำนาจนักอ่าน,อภินิหาริย์เจ๊ดัน:). เมื่อทีมงานนิตยสารฟรีฟอร์ม.ร่วมมือร่วมใจกันปิดร้านสรรพรสเพื่อเลี้ยงขอบคุณ"พี่เจี๊ยบ"กฤติยา.กาวีวงศ์ ผู้อำนวยการหอศิลป์.Jim Thompson Art Center พร้อมทีมงาน

dream

คนล้าฝัน...คนล่าฝัน.ส่งหนังสือเข้าโรงพิมพ์แล้ว.จึงถือเก็บกวาดหน้าจอ.เจอภาพแปลกๆ.ภาพนี้เป็นบรรยากาศช่วงปิดเล่ม.จะเห็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของกองบก.นิตยสารฟรีฟอร์มนั่นคือการได้ถ่ายภาพหมู่ร่วมกันตอนตีสี่

friday club

รัฐธรรมนูญห้าศูนย์&กีตาร์ห้าสาย& มหาวิทยาลัยวันศุกร์.ที่นั่งประจำของชมรมเราฯ.คับคั่งด้วยแขกเหรื่อแมนล้วนเต็มโต๊ะ.เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จากรั้วจามจุรีและท่าพระจันทร์.ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ไชยันต์.ไชยพร,อาจารย์วีระ.สมบูรณ์,อาจารย์แซม ฯลฯ

perfectionist

วันเซ็งๆ.และเพอร์เฟ็คท์ชั่นนิสต์ผมม้า? เซ็งเป็ดมากค่ะ เลยนั่งดูโฆษณาพาเพลิน โฆษณาเดี๋ยวนี้เขาทำดีมากนะ ได้ยินมาว่าบางคนหาเงินจากการทำโฆษณาเพื่อเอาไปทำหนังไทย.เจ๊งค่ะเจ๊ง.

Gen X-Gen Y

โทษที!.วันนี้ คุณวาดการ์ตูนแล้วหรือยัง?.สองวัน ใช้กระดาษขาวหมดไปแล้วยี่สิบสองแผ่น ไม่อยากเลยเชื่อว่าจะต้องมานั่งหัดวาดการ์ตูนกับเขาล่วย.. ...คนอ่าน

.................
................
...........................
............................
.............................................................................
.........................................................
........................................
...................................................
..........
................ .
บันทึกใบไม้...หากมีเวลาคอยเฝ้าดูนานพอ เราจะเห็นใบไม้ร่วงจากคาคบอย่างเงียบกริบ หล่นร่วงลงทอดตัวนิ่งสนิทแนบชิดผืนหญ้า สิ่งที่เป็นของเราก็คือไม้ยืนต้นไร้ใบกับใบไม้ร่วงอยู่บนผืนหญ้า... ...คนอ่าน