ยังตอบไปว่าพี่มีหนังสือออกใหม่ตั้งหกเจ็ดเล่มเลยนะเนี่ย เห็นไหม!เอาปกหนังสือมาทำเป็นตัวเปิดบล็อกอย่างอร้าอร่ามแบบภูมิใจเสนอเต็มที่ ยังอุตส่าห์ปลื้มไม่หาย เวลามีคนชมว่าปกหนังสือเราสวย
...
นี่ล่ะค่ะ หน้าตาบูธเรา จัดเสร็จเมื่อตอนค่ำวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา
นอกจากหนังสือเราเอง ก็มีหนังสือของสำนักพิมพ์ข้างเคียงมาฝากขายด้วยอย่างสำนักพิมพ์ฟูลสต็อป ที่เคยทำนิตยสารซัมเมอร์มาก่อน ก็ทำหนังสือท่องเที่ยวนิวยอร์ค ลาสเวกัส ลอนดอน และอีกมากมาย สวยๆ ทั้งนั้น
.............
วันนี้ 26 มีนาคม เปิดงานวันแรก เป็นพิธีรับเสด็จสมเด็จพระเทพฯ มาเปิดงานเช่นประจำทุกปี ปีนี้พระองค์ท่านเสด็จมาประมาณบ่ายสามโมงกว่าๆ เมื่อท่านเสด็จกลับ ก็เลยมีการเปิดจำหน่ายหนังสือเป็นทางการ ตั้งแต่หกโมงเย็นถึงสามทุ่ม
ตอนแรกนึกว่าจะไม่ค่อยมีหนอนมาช็อปกันเท่าไหร่ เพราะเปิดตอนค่ำ แต่ที่ไหนได้ หลายคนช็อปแหลกตั้งแต่วันแรก หอบข้าวของกลับบ้านพะรุงพะรังที่เดียว แล้วก็เจอคนแถวๆ นี้ด้วยค่ะ หอบหนังสือเป็นตั้งมาให้เซ็นตั้งแต่วันแรกเนี่ยเลย ไม่ค่อยจะเห่อเลยเนอะ :)
..............
พี่เขียว คาราบาว วันนี้ช็อปหลายถุง หอบหิ้วพะรุงพะรังทีเดียวเชียว แต่ยังแวะมาช็อปที่บูธเราด้วย ได้ "ร้านชำสำหรับคนอยากตาย" กับ "ต้นส้ม น้ำตา พายุ" กลับไปอ่านที่บ้านด้วย(อ่านหนังสือ"ชิลล์"มากเลยพี่ เจ๋งจริงๆ) แว่วๆ ว่าวันนี้พี่เขาหมดไปแล้วหลักพัน แต่เดี๋ยวจะแวะมาอีก :)
...............................................................
ลูกค้าคนสุดท้าย (วันที่ 26 มีนาคม) ก่อนปิดร้าน สนใจเรื่องฝรั่งเศสเป็นพิเศษ แต่ท่าทางจะเก็บย้อนหลังแฮะ ไม่เป็นไรค่ะ งานนี้ตั้งใจอยากให้เก็บ เพราะราคาน่าเก็บสุดๆ ไตรภาคนิโกโปล จากราคาปก 450 ลดเหลือ 380 เองนิ ส่วนร้านชำฯ จาก ราคา 198 บาท ลดเหลือ 160 บาท กระชากขนาดนี้ ไม่มีใครกลับจากบูธเราไปมือเปล่าสักคน น่ารักจริงๆ ค่ะ ต้องขอบคุณมากๆ เลย :)
........................
วันนี้ มีหลายคนมายืนถ่ายรูปกับแผ่นป้ายปกหนังสือยาขอบด้วย
เกิดไปเลยนะปกนี้ :)
น้องบี (ซ้าย) กับน้องแพร สองสาวนักศึกษาปีสี่จาคณะศิลปศาสตร์ มหิดล มาช่วยเรารับผิดชอบการขายหน้าร้านตลอดงานนี้ค่ะ ถ้ามีช่วงว่างบ้าง น้องๆ ก็จะถูกพวกพี่ๆ บังคับให้อ่านหนังสือตลอด แบบว่ากลัวน้องเค้าอ่านหนังสือเรียนมากไป เลยอยากให้อ่านหนังสืออ่านเล่นบ้างน่ะนะ ฮ่า :)
น้องผู้ชายคนนี้ มาเที่ยวงานหนังสือกับคุณแม่และพี่สาว ซึ่งหน้าเหมือนกันเป๊ะทั้งสามคน เหมือนซีร็อกซ์กันมา 100 เปอร์เซ็นต์ น้องเดินมาถึงหน้าร้านเราก็ดุ่มเข้ามาเลย และขลุกอยู่ในร้านท่านี้เกือบครึ่งชั่วโมง โดยมีคุณแม่กับพี่สาวยืนยิ้มรออย่างอารมณ์ดีอยู่นอกร้าน คุณแม่หันมาบอกฉันด้วยน้ำเสียงภูมิใจว่า "ลูกชายเค้าชอบอ่านหนังสือมาก" เราก็ต้องภูมิใจอีกเท่าตัวสินะ ที่น้องเค้าแวะมาช็อปบูธเราด้วย มัวแต่คุยเพลินเลยไม่สังเกตแฮะ ว่าน้องเค้าได้อะไรติดมือกลับบ้านไปด้วย
น้องผู้หญิงสองคนนี้แวะมาเลือกหนังสือ'ปราย พันแสง อยู่นาน จนไม่ทันสังเกตว่าคนเขียนยืนแอบลุ้นอยู่ใกล้ๆ ว่าน้องเค้าจะหยิบเล่มไหนน้า กะว่าน้องเค้าหันมาทางเราก็จะทักทาย ว่านี่ไง คนเขียนอยู่นี้ วู้ วู้
......
ปรากฏน้องเค้าเลือกหนังสืออย่างตั้งใจมาก จนไม่มองมาทางคนเขียนแม้แต่นิดเดียว ฮ่า สองภาพสุดท้ายนี้ถ่ายก่อนปิดร้าน (วันที่ 30 มีนาคม) รอบนี้มีคนแซวว่าเด็กมหิดลขายหนังสือให้เด็กจุฬาฯด้วยนะ เอาให้ครบทุกสถาบันเลยดีมั้ย จะได้ไม่ต้องแบ่งสี ฉันฟังแล้วก็ขำๆ เนื่องจากไม่ได้สังเกตกระดุมเสื้อน้องเค้าเลยแฮะ
.......
รู้สึกว่าวันนี้บูธเรามีลูกค้าเป็นนักศึกษาเยอะเป็นพิเศษ--นั่นแสดงว่าน้องๆ พวกนี้เค้าเลือกหนังสืออ่านได้ดีเหมือนกันเนอะ เนอะ :)
คุยเรื่องบูธมาเยอะแล้ว ขอคุยเรื่องหนังสือในบูธบ้าง
เฉพาะหนังสือออกใหม่ในงานนี้ละกันนะ เล่มก่อนหน้านี้ ถ้าสนใจ คลิกไปอ่านที่บล็อกฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ได้เลยค่ะ
The Picture of Dorian Gray
ภาพวาดโดเรียน เกรย์
ในจำนวนหนังสือใหม่หกเจ็ดเล่มของฟรีฟอร์มรอบนี้ ถ้าสามารถซื้อได้เล่มเดียว ฉันขอแนะนำเล่มนี้ค่ะ ภาพวาดโดเรียน เกรย์ คุ้มแน่นอนค่ะ คุณสามารถเก็บไว้เป็นมรดกตกทอดให้ลูกหลานได้ไม่รู้จบ บอกได้อย่างนั้นเลย นี่คือหนังสือที่มีค่ามาก สำหรับคนที่รักหนังสือ
หลายปีมานี้ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้หลายรอบ คัดคำพูดเด็ดๆ ของออสการ์ ไวลด์ ไปใช้อ้างอิงในงานเขียนหลายครั้ง เคยหอบหนังสือไปอยู่เชียงใหม่ด้วยตั้งนาน กะว่าเขียนนิยายตัวเองเสร็จเมื่อไหร่ จะลงมือแปลหนังสือเล่มนี้
ทำไมน่ะหรือ มันคงเหมือนกับการที่ฉันอยากพิมพ์งานของ "ยาขอบ" นั่นกระมัง มันอาจจะเป็นการ "บูชาครู" อย่างที่คนไม่มีชื่อแถวๆ นี้เคยบอกไว้ :) ค่าที่ว่าฉันเคยแปลบทกวีของออสการ์ ไวลด์ เคยนำคำคมๆ ของเขามาใช้อ้างอิงในงานเขียนของตัวเองบ่อยๆ
..............
เมื่อมีโอกาส ก็อยากจะนำเสนอผลงานเขาออกมาให้ผู้อ่านได้ลิ้มรสกันอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยบ้าง แทนที่จะอ่านหรือสัมผัสเพียงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในงานเขียนของฉันเท่านั้น
แต่ในที่สุด เมื่อเห็นว่านวนิยายของตัวเองที่เริ่มไว้ยังไม่มีแววว่าจะจบลงสักที ฉันก็เลยตัดสินใจส่งหนังสือเล่มนี้เข้าระบบของสำนักพิมพ์ --ให้ทางทีมงานฟรีฟอร์มจัดหาคนที่เหมาะสมมาแปล
...............
น่าแปลกนะ นักแปลหลายท่านที่เราเคยทาบทาม ทุกคนกลัวการแปลหนังสือเล่มนี้กันทั้งหมดเลย คงเพราะชื่อเสียงขั้น"เทพ"ในแวดวงวรรณกรรมของออสการ์ ไวลด์นั่นเอง
.............
เดิมที เราเคยวางแผนเอาไว้ว่าจะให้เป็นผลงานพ็อคเก็ตบุ๊คเล่มแรกของฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ แต่ด้วยเนื้อหาและสำนวนภาษาที่ค่อนข้าง "ฮาร์ดคอร์" ในกระบวนการจัดพิมพ์ จึงใช้เวลาในการแปล ตรวจแก้ กลั่นกรอง กันอยู่นานมาก
................
ด้วยเนื้อหาปรัชญาของศิลปะบริสุทธิ์และสุนทรียศาสตร์ลึกซึ้ง ที่มีฉากเป็นบรรยากาศหรูหราในสังคมชั้นสูงของอังกฤษ ในบรรยากาศของนิยายกอธิค ที่มีความหม่นมืดปนสยองขวัญอยู่บางๆ จึงทำให้หนังสืออ่านสนุก น่าติดตาม ไม่เคยตกสมัยเลยแม้แต่นิด ดังเราจะพบว่ามีการสร้างเป็นภาพยนตร์และละครเวทีซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ส่วนตัวฉันเคยดูฉบับภาพยนตร์มาสองสามเวอร์ชั่น แล้วพบว่า หนังมันมีกลิ่นอายของโฮโมเซ็กช่วลรุนแรงมาก จนบางคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือ ไม่รู้จักเบื้องหน้าเบื้องหลังของนวนิยายเรื่องนี้มาก่อน เรียกหนังโดเรียน เกรย์ ว่าเป็น "หนังเกย์" ไปเลยก็มี
.................
ฉันไม่ได้ต่อต้านเกย์ เพื่อนพ้องน้องพี่สุดที่รักก็อยู่ในข่ายนี้หลายคน ก็ยังรักใคร่นับถือกันดี แต่การทำหนังทำละครหรือแม้แต่เขียนอะไรเกี่ยวกับเกย์นั้น ถ้ารสนิยมคนทำไม่ดีพอ มันจะลงต่ำและดูเป็นเรื่องหยาบคายได้ง่ายมาก
.............
ยิ่งมีการสร้างหนังจากนวนิยายเรื่องนี้บ่อยเพียงใด ฉันรู้สึกว่าเนื้อหามันคงยิ่งห่างไกลจากนวนิยายต้นฉบับเข้าไปทุกที เคยดูเวอร์ชั่นหนึ่ง โดเรียน เกรย์ เป็นนายแบบด้วยแหละ ส่วนท่านลอร์ดเฮนรี่เป็นเจ้าป้า เอ๊ยเป็นกูรูแฟชั่น :) เฮ้ย เล่นกันงี้เลยเรอะ ฉันร้องจ๊าก
..........
นั่นยิ่งเป็นอีกหนึ่งแรกผลักดัน ที่ทำให้คิดว่า อย่างไรเสีย ฉันก็จะต้องผลักดันให้นวนิยายเรื่องนี้ได้รับการตีพิมพ์ในภาษาไทยให้ได้
โดเรียน เกรย์ ไม่ใช่นิยายเกย์ค่ะ แม้ว่าบรรยากาศของสโมสรสุภาพบุรุษในเรื่อง จะมีกลิ่นอายของโฮโมเซ็กช่วลอยู่บ้าง แต่เป็นแค่กลิ่นอายให้เราตีความกันไป ทั้งนี้คงเป็นเพราะออสการ์ ไวลด์ เป็นจีเนียสและรสนิยมเลอเลิศมาก เขาเป็นคนรักความงาม รักสุนทรียศาสตร์อย่างคนที่เข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง เขาไม่ได้เขียนความเป็นเกย์ออกมาอยาบคายโจ๋งครึ่มเหมือนที่หนังสือประเภทนี้นิยมทางกัน
อาจจะเป็นเพราะยุคสมัยที่เขาเขียน โดเรียน เกรย์ นั้น ชีวิตโฮโมเซ็กช่วลเป็นเรื่องที่ถูกต่อต้านอย่างหนัก ออสการ์ ไวลด์จึงไม่ได้เสนอภาพเกย์ออกมาชัดเจนนัก โดยเฉพาะในตอนหลัง เมื่อเขาถูกกลั่นแกล้งจนติดคุกด้วยข้อหามีความสัมพันธ์ทางเพศกับชายหนุ่ม ในศาล ยังมีการอ่านบางตอนของนิยายเรื่องนี้เพื่อยืนยันความผิดของเขาด้วย ซึ่งเราท่านสมัยนี้ลองอ่านดูเถอะ ว่ามันตลกแค่ไหน :)
แน่นอนบุคลิคตัวละครและสังคมชายหนุ่มที่ปรากฏในเรื่อง The Picture of Dorian Gray อาจจะมีนัยประหวัดเช่นนั้นได้ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องราวในชีวิตจริงของผู้เขียน ที่ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลานานด้วยข้อหารักร่วมเพศด้วยแล้ว ก็คงยากที่จะตีความไปในทางอื่นได้
...
หากแต่ฉันเห็นว่าประเด็นรักร่วมเพศนั้นเป็นเสน่ห์ ที่ทำให้เราคิดไปเองได้เยอะๆ และเป็นประเด็นเล็กน้อยมากสำหรับหนังสือที่ยิ่งใหญ่เล่มนี้ เรื่องบาป เรื่องศาสนาอาจจะเป็นประเด็นสำคัญกว่าด้วยซ้ำ ถ้าจะตีความกันจริงๆ คงน่าเสียดาย หากผู้คนจะมีโอกาสได้ชมกันแต่ฉบับภาพยนตร์ซึ่งหาชมได้ง่าย และได้มองเห็น The Picture of Dorian Gray เป็นเพียงนวนิยายเกย์ธรรมดาเรื่องหนึ่ง จนมองข้ามส่วนสำคัญ อีกมากมายในหนังสือไปจนหมดสิ้น
“ในบรรดานักเขียนไทยที่คล้ายออสการ์ ไวลด์ที่สุด เห็นจะได้แก่คึกฤทธิ์ ปราโมช โดยเฉพาะก็ทางด้านการแต่งกายและกินอยู่ กับความเป็นอภิชนที่ใช้ภาษาอย่างแหลมคม” อาจารย์ ส. ศิวรักษ์ เคยกล่าวถึงออสการ์ ไวลด์ ไว้เช่นนั้น
ทั้งยังยกย่องไว้ด้วยว่า ความเฉลียวฉลาดและความสามารถทางการเขียนของออสการ์ ไวลด์นั้นเหนือชั้นกว่าคนมีพรสวรรค์อย่างที่ผู้คนมักกล่าวอ้างกัน “คำพูดของเขา ในชีวิตจริงหรือในบทละคร ออกจะเหมือนกัน ล้วนเป็นคำคม ที่คนจำได้กันอย่างติดใจแทบทุกประโยคและวลี โดยเขาถือว่าเขามีอัจฉริยภาพ (Genius) ซึ่งต่างจากผู้ที่มีความสามารถ (Talented)”
นั่นคือ ออสการ์ ไวลด์ ในทัศนะของนักคิดนักเขียนไทย เจ้าของฉายา “ปัญญาชนสยาม”
ออสการ์ ไวลด์ มีชื่อเสียงมากในเรื่องการเขียนบทละคร ทุกวันนี้ยังมีการนำผลงานของเขามาสร้างละครเวทีเปิดแสดงให้ชมกันอยู่เสมอในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ด้วยความโดดเด่นของสำนวนตอบโต้แหลมคม มีเชิงชั้น มีแง่มุมลึกล้ำชวนให้คิดตีความได้กว้างไกล มีเสน่ห์ชวนหลงใหล ชวนให้พินิจพิเคราะห์ตีความใหม่ๆ ได้เสมอ
The Best Short stories of Guy De Maupassant
เงื้อแล้ว…ก็ต้องฟัน
มนันยา : แปล
รวมเรื่องสั้นดีที่สุดของกีย์ เดอ โมปัสซังต์ หนังสือเล่มนี้มีที่มาจากวงสนทนาประสาเพื่อนพ้องน้องพี่ในแวดวงคนทำหนังสือเมื่อยามเย็นในวันศุกร์หนึ่งในร้านอาหารละแวกประชาชื่น
หลังจากที่คุยกันสัพเพเหระเกี่ยวกับหนังสือหนังหามาพักใหญ่ คุณเสถียร จันทิมาธร บรรณาธิการบริหารนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ซึ่งเป็นทั้งที่ปรึกษาและหุ้นส่วนของฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ ก็หันมาเอ่ยกับฉันว่า "ทำไมคุณไม่ลองคัดเรื่องดีๆ ของกีย์ เดอ โมปัสซังต์ มาพิมพ์ใหม่ล่ะ ผมว่าของเก่าเขาแปลไว้ยังไม่ค่อยดีนะ แต่โมปัสซังต์เขียนเรื่องดีๆ ไว้เยอะมาก ผมอ่านอีกก็ยังชอบอยู่หลายเรื่อง" แล้วหลังจากนั้นวงสนทนาของเราจึงกลายเป็นเรื่องโมปัสซังต์ไปอีกพักใหญ่ ต่างคนต่างงัดเรื่องที่ตัวเองเคยอ่านแล้วชอบ ออกมาเล่าสู่กันฟังขนานใหญ่
...
เมื่อฟรีฟอร์มรวบรวมต้นฉบับได้ครบแล้ว จึงมีการคัดสรรนักแปล ทีแรกฉันเสนอว่า คนแปลน่าจะเป็นคุณตู๋ วลัยภรณ์ นาคพันธ์ คนที่แปล "ผู้หญิงสีฟ้าครึ้มฝน" กับ "ผู้ชายครึ่งฝัน" เพราะคุณตู๋เคยบอกว่า ตอนไปเรียนที่ฝรั่งเศส เธอมีปัญหาเรื่องการเขียนวิทยานิพนธ์เป็นภาษาฝรั่งเศส อาจารย์ของเธอเลยแนะนำให้อ่านหนังสือของโมปัสซังต์เพื่อสร้างความคุ้นเคยด้านภาษา
ปรากฏว่าการลุยอ่านโมปัสซังต์ครั้งนี้ ทำให้เธอชื่นชอบผลงานของนักเขียนท่านนี้เป็นอย่างมาก---ฉันจึงคิดว่า คุณตู๋นี่ล่ะ เหมาะที่สุด เพราะนอกจากเธอจะเป็นคนรุ่นใหม่แล้ว ความรู้เกี่ยวกับภาษาฝรั่งเศสของเธอก็ดีเยี่ยม พอๆ กับความเชี่ยวชาญในการเลือกสรรคำแปลมาเป็นภาษาไทยของเธอนั้นก็อยู่ในระดับ "มืออาชีพ" ทีเดียว บ่งบอกถึงความเป็นนักอ่านระดับพระกาฬ
........
สำนวนแปลของคุณวลัยภรณ์จึงอ่านลื่น สละสลวย เป็นนักแปลหน้าใหม่อีกคน ที่เป็นขวัญใจทีมงานฟรีฟอร์มเป็นอย่างยิ่ง รวมถึงความหลังที่เธอมีต่อโมปัสซังต์ด้วยแล้ว เราจึงไม่เห็นใครเหมาะจะแปลงานของโมปัสซังต์ ได้เท่าเธออีกแล้ว เพียงแต่ระหว่างนั้น คุณตู๋เธอกำลังแปล แมร์ด แอคชวลลี่ อยู่ เราเลยยังไม่ได้ทาบทาม กะว่าเสร็จเล่มนี้แล้วค่อยว่ากัน
...
แต่ปรากฏว่าช่วงงานมหกรรมหนังสือปลายปีที่ผ่านมา ฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์ได้มีโอกาสต้อนรับขับสู้ "คุณมนันยา" ที่มาแจกลายเซ็นในงาน คุยไปคุยมาท่าไหนไม่รู้ เมื่อคุณมนันยารู้ว่าเรากำลังเตรียมแปลโมปัสซังต์ แต่ยังไม่ได้ติดต่อคนมาแปล คุณมนันยาซึ่งตอนนั้นก็งานล้นมือ ยังหลุดปากบอกเราว่า "ให้พี่เป็นคนแปลมั้ย พี่ใฝ่ฝันมาตลอดเลยว่าจะได้แปลงานของนักเขียนคนนี้ พี่ชอบงานเค้ามาก ว่าแต่ฟรีฟอร์มจะพิมพ์แน่หรือเปล่า"
...
โอ๊ะโอ! นักแปลระดับนี้เอ่ยปากขนาดนี้ ใครไม่ตกลงก็บ้าแล้ว ว่ามั้ย และแล้วในที่สุดรวมเรื่องสั้นชุดแรกของกีย์ เดอร์ โมปัสซังต์ เล่มแรกที่เราพิมพ์ออกมา จึงมีที่มาอย่างนี้เอง ส่วนเล่มต่อไป จะวางแผงในเดือนหน้านี้แล้วค่ะ ไม่ต้องรอนานเลยคราวนี้ (อ้อ ตอนนี้คุณวลัยภรณ์กำลังแปลงานนักเขียนฝรั่งเศสเล่มใหม่ให้ฟรีฟอร์มอยู่ค่ะ ซึ่งเป็นนักเขียนขวัญใจของเธอเช่นกัน เผลอ อาจจะรักมากว่าโมปัสซังต์)
...
ลองอ่านดูเถอะค่ะ แล้วจะรู้เอง
ว่าทำไมพวกเราถึงรักงานเขียนของโมปัสซังต์กันนักนะ :)
.............................
.............ใ
ใ
ใ
...............
.............................
จดหมายรักยาขอบ,จดหมายรัก'ปราย พันแสง,สินในหมึก
จากที่มีโอกาสไปยืนขายแว้บๆ ที่งานเป็นบางครั้ง ปรากฏว่าเจอคำถามชวนอึ้งจากผู้อ่านที่แวะเวียนมาช็อปที่บูธเรา น้องผู้หญิงคนหนึ่งถามฉันว่า "พี่คะ พอดีหนูซื้อหนังสือเยอะ เพิ่งเจอบูธนี้ แต่ตังค์หมดแล้ว ถ้าซื้อได้เล่มเดียว ควรซื้อเล่มไหนดี" ฉันฟังแล้วก็อึ้งๆ ปนขำอยู่สองสามวิ (คนอ่านหนังสือเนี่ย น่ารักจริงๆ นะ ฉันรักพวกคุณจริงๆ เลย) เลยถามน้องเค้าว่า น้องชอบเล่นเน็ท ชอบเขียนบล็อก หรือเว็บไดอารี่อยู่หรือเปล่า" น้องเค้าตอบว่ามีบล็อก แต่ไม่ค่อยได้อัพ แต่ชอบเขียนนะ ฉันเลยบอกว่า งั้นซื้อเล่มนี้ดีกว่า "สินในหมึก" เขาสอนวิธีเขียนหนังสือซึ่งไม่ใช่ฮาวทูเกร่อๆ บ้าๆ บอๆ ที่คนชอบสอนกัน แล้วในเล่มนี้ก็ยังมีเรื่อง "ยาขอบ-พนิดา" อยู่บ้างบางตอน เรียกว่าถ้างบน้อย ได้เล่มนี้ไป ก็ยังสามารถสัมผัสอารมณ์วาบๆหวามๆ จากความรักของยาขอบได้ด้วยเหมือนกัน (สามเล่มนี้เคยเขียนถึงไปแล้วค่ะ คลิกอ่าน จดหมายรักยาขอบ จดหมายรัก'ปราย พันแสง และ สินในหมึก )
ชุดแมร์ด ซีรีส์
ห้าหกวันที่ผ่านมาของงานสัปดาห์หนังสือปีนี้ แมร์ดซีรีส์ เป็นหนังสือที่ขายสนุกที่สุด คือคุยกับคนซื้อได้สนุกมากบางคนอ่านเล่มแรก แล้วแวะมาซื้อเล่มที่เหลือ ก็จะคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้จากหนังสือให้ฟัง แล้วก็หัวเราะกัน แม้แต่คนที่ไม่เคยอ่านมาก่อน ไม่รู้จักมาก่อน แค่บอกว่า "คุณมนันยาแปลไปหัวเราะไป"เท่านั้นแหละ เป็นคว้าหมับทุกราย
.................................
อย่างเล่ม 2 แมร์ด แอลชวลลี่ พวกเราในทีมขลุกอยู่ในกระบวนการผลิตหลายเดือน ก็ยังขำอยู่ทุกรอบ น้องกุ้งที่พิสูจน์อักษรบอกว่า "ขำมากเลยพี่ หนูอ่านรอบที่สามแล้ว ก็ยังขำอยู่" ส่วนตัวฉันว่าสนุกกว่าเล่มแรกนะ เพราะเล่มแรกเนี่ย เหมือนอีตาพอล เวสต์ จะเป็นลูกไล่คนฝรั่งเศส โดนหลอก โดนอะไรต่างๆ นานาๆ เพราะเพิ่งไปอยู่ฝรั่งเศส
.............
แต่แมร์ด 2 เนี่ย เหมือนอยู่มานานหน่อย จึงเริ่มจับทางหนีทีไล่คนฝรั่งเศสได้บ้างแล้ว ก็เลยมีสวนกลับบ้าง ตลกดี ส่วนแมร์ด 3 ทอล์ค ทู เดอะ สเนล เล่มนี้เป็นเรื่องวัฒนธรรมฝรั่งเศสแบบพอล เวสต์ คืออ่านแล้วได้ความรู้ แต่ก็ยังมีความบ้า ให้ฮาได้ ถ้าอ่านมาสองเล่มแล้ว เล่มนี้ก็ไม่ควรปล่อยให้หลุดมือค่ะ :)
...........
ทอล์ค ทู เดอะ สเนล เหมือนออร์เดิร์ฟ ในการทำความรู้จักวัฒนธรรมฝรั่งเศส เหมาะจะอ่านไว้เป็นพื้นฐาน เพราะฟรีฟอร์มกำลังมีงานแปลอีกเล่ม "ฝรั่งเศส ฝรั่งแสบ" ที่กำลังจะวางแผงตามมา ใครที่เห็นท่าว่าจะไม่พลาดแน่ อย่าลืมรองท้องด้วยหอยทากก่อนค่ะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ฮ่า :)
แต่บ่อยครั้งที่บูธเรามีสภาพนี้ :)
บางคนมายืนรออยู่นาน เข้าไปไม่ ต้องไปที่อื่นก่อน สักพักก็ค่อยแวะมาดูอีก ว่าพอจะเข้าไปได้หรือยัง มีรายหนึ่งคงติดธุระ หรือรีบกลับ มาสองรอบ ยังเข้าบูธไม่ได้ซักที มารอบที่สาม จดรายชื่อหนังสือมาห้าหกเล่ม แล้วบอกให้ช่วยส่งทางไปรษณีย์มาให้ด้วย เนี่ย ถ้าไม่พูดแบบยิ้มๆ กะเรา คงคิดว่าคนพูดหงุดหงิดมากเลยนะ --เราเองก็เกรงใจมากๆ แต่ไม่รู้จะทำไง อย่างไรก็ตาม ก็ปลื้มมากๆ ค่ะ ที่มีคนสนใจหนังสือฟรีฟอร์มขนาดนี้ ดีใจจริงๆ นะคะ ปีนี้ยังลุ้นอยู่เลย ว่าจะออกหัวออกก้อย ยิ่งคนเขาว่าเศรษฐกิจไม่ดีอยู่ด้วย แต่แฟนๆ ของฟรีฟอร์มยังเหนียวแน่นค่ะ น่าปลื้มจริงๆ :)
แบบนี้คนข้างหลังยัง พอลุ้น เราต้องลากชั้นข้างใน ออกมาวางข้างนอกอีกแถวหนึ่ง เพื่อแบ่งเบาความแออัดหน้าร้าน :)
แออัดเฉพาะหน้าร้านเราแบบนี้ บูธข้างๆ ก็มีแซวค่ะ :)
น้องฟ้า เสื้อสีม่วง นอกจากมีหนังสือพี่'ปราย ครบทุกเล่มแล้ว ตัวเธอเองยังเขียนนิยายขายด้วยนะคะ อยู่สำนักพิมพ์สีม่วงอ่อน (เก่งจริงๆ) ส่วนสองสาวสองภาพล่าง คนซ้ายมือเคยเจอกันแล้ว ในงานหนังสือคราวก่อน ส่วนน้องหน้าคมสวมแว่นคนขวา ก็อุดหนุนหลายเล่ม โดยมีชายหนุ่มของเธอช่วยเป็นตากล้อง ขอบคุณนะคะ (เสียดายจัง จำชื่อไม่ได้ คนเยอะเนอะ อยากจดไว้มากเลย แต่ไม่ทันจริงๆ)
ขวามือคือ "น้องฝ้าย" จำชื่อได้ค่ะ เพราะมาก่อนปิดร้านนิดเดียว น้องฝ้ายแวะมาซื้อหนังสือ'ปราย พันแสง ไปฝากคุณแม่"อี๊ด" ตามคำขอของคุณแม่ เธอบอกว่า "เป็นนักเขียนที่คุณแม่ชอบมากค่ะ ติดตามมาตลอดเลย" ตอนเซ็นชื่อให้ ก็แทบน้ำตาจะไหลค่ะ ขอบคุณจริงๆ น่ารักทั้งคุณแม่คุณลูกเลยค่ะ
...
พวกเราชมว่า น้องปาล์มสวยจังเลย น่ารักจังเลย เธอก็บอกว่า "หนูมีพี่สาวด้วยนะ แต่ไม่สวยหรอก หนูสวยกว่า" เมื่อเราถามว่า แล้วหนูมีน้องมั้ย ปาล์มตอบว่า "หนูมีน้องอีกคนนึง แต่ไม่สวยเหมือนหนูหรอก หนูสวยกว่า เพราะน้องหัวล้าน"
น้องปาล์มบอก "ไฟท์ติ้งค่า :)"
ภาพจากบูธฟรีฟอร์ม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2552
ภาพวันที่ 5/2[ภาพบนซ้าย] หนุ่มเสื้อลายฉายเดี่ยว เดินลิ่วมาสอย "จดหมายรักยาขอบ" ไปอย่างมั่นใจ ความว่าได้รับคำแนะนำที่เชื่อถือได้เป็นอย่างยิ่ง ใครนะใคร :) [ภาพบนขวา] ชื่อน้องวรรณ (ถ้าจำผิดขออภัยนะคะ) ดูเหมือนจะเดินหาบูธฟรีฟอร์มอยู่พักใหญ่ เพราะไม่ชินว่าเรามีบูธของตัวเองแล้ว ฮ่า [ล่างซ้าย]เซ็นหนังสือ "คนรัก เคยรัก ยังรัก" ให้สาวสวยคนหนึ่งค่ะ เสียดายที่จำชื่อเธอไม่ได้เสียแล้ว เหมือนสาวเสื้อสีน้ำเงินที่มากับหนุ่มเสื้อขาวค่ะ ถ้าแวะมาแถวนี้ก็ใบ้ๆ ชื่อให้พี่นิดนึงน้า :)
ภาพวันที่ 5/3[ภาพบนซ้าย] ชายหนุ่มสวมแว่น คือคุณจอร์จ มากับคุณวี (คนขวามือ) เป็นแฟนหนังสือ'ปราย พันแสง คุณจอร์จบอกว่า "ผมซื้อ เค้าอ่านด้วย" เสียดายว่าสาวสวยสวมหูฟังนั้น จำชื่อไม่ได้ค่ะ [บนขวา] ถ่ายภาพกับ "น้องจ๋า" ที่บอกว่าเป็นแฟนหนังสือ'ปราย พันแสง ตั้งแต่อายุห้าขวบ เพราะที่บ้านคุณพ่อรับนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์เป็นประจำ ตอนนี้น้องจ๋าเรียนแพทย์ปี 1 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ [ล่างขวา]สาวเสื้อแดงกับสาวฟ้า (ผ้าคลุมไหล่สีน้ำตา) แก๊งสาวป่วนประจำวัน แอบหนีงานบูธอื่นมาป้วนเปี้ยนบูธเราเป็นประจำ ส่วนอีกสาว (ภาพล่างขวา) คือ"น้องจี"บรรณาธิการเวิร์คพอยท์พับลิชชิ่ง วันนี้คาดผ้ากันเปื้อนตราเวิร์คพอยท์ มาซื้อหนังสือ "ร้านชำสำหรับคนอยากตาย"และ "คนรัก เคยรัก ยังรัก" พร้อมบังคับให้พี่'ปรายเซ็นชื่อให้ด้วย ไม่เว้นกระทั่งหนังสือ "ร้านชำฯ" แม้จะบอกว่าพี่ไม่ใช่คนเขียนก็ตาม :)
ภาพวันที่ 5/4 ชุดนี้ก็แฟนพันธุ์แท้เหมือนกัน โดยเฉพาะคุณเสื้อแดง จริงๆ ขายหนังสืออยู่บูธถัดจากเราไปสองสามบูธอีก แต่แวะมาช็อปที่บูธเราหลายเล่มเลย ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ส่วนสาวๆ ที่ยังไม่ได้เอ่ยถึง ไม่ใช่อะไรค่ะ จำชื่อไม่ได้อีกล่ะ กล้องเนี่ย น่าจะบันทึกเสียงได้ด้วยนะ :)
ภาพวันที่ 5/5 [ภาพบนซ้าย]สาวเสื้อสีเทา ถือหนังสือ "มิสยู" ชื่อน้องผักบุ้ง แวะมาตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้มาอีก จึงได้ลายเซ็นในหนังสือกลับไปด้วยสมความตั้งใจ ขอบคุณนะคะน้อง :) [ภาพล่างซ้าย] หนุ่มเสื้อสีชมพูกับสาวเสื้อดำ ขอบคุณมากๆ เหมือนกันค่ะ อุดหนุนฟรีฟอร์มหลายเล่มเลย อ่านหนังสือด้วยกันได้เนี่ยประหยัดดีจังเนอะ [ภาพล่างขวา]น้องนิวคนสวย พนักงานขายของเราอีกคน จากคณะศิลปศาสตร์ฯ เช่นกัน วันนี้น้องนิวสลับขายกับน้องแพรซึ่งหยุดไป
ภาพจากบูธฟรีฟอร์ม เมื่อวันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2552 (วันสุดท้ายของงานสัปดาห์หนังสือปีนี้แล้วค่ะ)
ภาพวันที่ 6/3
ภาพวันที่ 6/5
ภาพวันที่ 6/6
ภาพวันที่ 6/7
ภาพวันที่ 5/8
ภาพวันที่ 6/9
ภาพวันที่ 6/10
ภาพวันที่ 6/11
ตกหล่นชื่อเสียงเรียงนามของบางท่านไปบ้างอย่าถือสาเลยนะคะ ขอบคุณมะโหน่งและน้องแทมสำหรับภาพถ่ายที่เห็น ขอบคุณทุกคนในภาพถ่ายที่ทำให้บูธฟรีฟอร์มมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะ อ๊า พูดเหมือนจะขึ้นรับออสการ์ ฮ่า แต่อยากขอบคุณจริงๆ ค่ะ ขอบคุณทุกคน ที่ทำให้อีกวันในชีวิตของคนเขียนหนังสือตัวเล็กๆ คนหนึ่งมีความหมายขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ :)