The Writing Life,
Taking As Long As It Takes.
เขียน...เขียน...และเขียนต่อไปเถิด
Last update: 23 Feb 2009
.L... ....
เมื่อวานรื้อกรุสมบัติที่บ้าน เจอเศษกระดาษเหลืองกรอบแผ่นหนึ่ง เป็นชิ้นส่วนที่ฉีกออกมาจากนิตยสาร Writer’s Digest ปี 1991
...
ว้าวววว!
...
ฉันเก็บเจ้าเศษกระดาษชิ้นนี้มาสิบแปดปีแล้วหรือนี่
ไหนลองดูซิว่าฉันเก็บอะไรเอาไว้
มันเป็นบทความภาษาอังกฤษสั้นๆ ชื่อ The Writing Life , Taking as long as it takes. ไม่มีชื่อคนเขียนติดมาด้วย เนื้อความบรรยายความอัดอั้นตันใจของนักอยากเขียนคนหนึ่ง ที่บอกว่าตัวเธอเองเป็นคนเขียนหนังสือช้า ไม่มีอะไรจะเขียน ต่อให้พยายามแทบตายยังไงก็เขียนออกมาไม่ได้
...
ยิ่งเมื่อได้ฟังเพื่อนๆ คนอื่นเล่าถึงความก้าวหน้าในการเขียนของตนให้ฟัง ยิ่งฟังก็ยิ่งเครียด“ฟังคนอื่นแล้วฉันยิ่งกลุ้ม และคิดว่าตัวเองคงไม่มีความสามารถในการเขียนเสียแล้ว”
“ฉันเพิ่งเขียนเรื่องเขย่าขวัญขนาด 90,000 คำ เสร็จเรียบร้อยแล้วนะ ทั้งๆ ที่เพิ่งเริ่มเขียนไปเมื่อเดือนที่แล้วนี่เองนะ” เพื่อนคนหนึ่งพูด
"เรื่องขนาด 90,000 คำ ในหนึ่งเดือน ฉันทำไม่ได้หรอก ฉันอดนอนมาตั้งสามคืนเพียงเพื่อจะเขียนบทเกริ่นนำนิยายให้ได้ ก่อนที่จะต้องมาเจอเพื่อนๆของฉันอีกครั้งในสัปดาห์หน้า"
"นักเขียนบางคนนำการเขียนหนังสือช้ามาเป็นข้ออ้างให้ความขี้เกียจ จริงๆ แล้วเขาอาจจะตั้งใจทำให้มันช้า เขาไม่ต้องการเขียนมันออกมาจริงๆ จังๆ หรอก สิ่งที่เขาต้องการอาจจะเป็นแค่เกียรติยศชื่อเสียงในการเขียนหนังสือเท่านั้น"
....
"แต่ก็มีนักเขียนอีกหลายคนที่เหมือนฉันคือพยายามใช้เวลาพิเศษที่สุดในการเรียงร้อยถ้อยคำแต่ละประโยค แต่ละบรรทัดออกมาเพื่อให้มันเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุด--แต่ถ้าปล่อยให้ความเชื่องช้านี้มาเป็นสาเหตุให้คุณเบื่อที่จะเขียน หรือเบื่อตัวคุณเอง ฉันก็อยากตายน่ะ"
"ฉันเคยไปเข้าค่ายอบรมการเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ ฉันมาที่นี่เพราะฉันอยากจะเป็นนักเขียน ใช่ เป็นนักเขียนเท่านั้น ตลอดสิบปีที่ผ่านมา ฉันเขียนเรื่องเอาไว้หลายเรื่อง แต่มันก็ไม่เคยได้พิมพ์ขายเลยสักเรื่อง ที่นี่จึงเป็นความหวังสุดท้ายของฉัน"
"สองสัปดาห์ในค่ายอบรม ทุกคนต้องเขียนเรื่องกันคนละหนึ่งเรื่อง งานเขียนของฉันก็ดำเนินไปเรื่อยๆ แล้วมันก็แย่ลงเรื่อยๆ มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการเขียนเลยสักนิด แค่เพียงเพราะว่าฉันต้องการเขียนมันให้เสร็จเท่านั้น -- ฉันเกลียดตัวเองจริงๆ"
"คืนสุดท้ายก่อนกำหนดส่ง ฉันเขียนได้ทั้งหมดสามสิบหน้า ฉันคว้าต้นฉบับขึ้นมาแล้วปีนออกไปนอกหน้าต่าง มันสูงจากพื้นประมาณ 65 ฟุต ฉันมองลงไปเบื้องล่าง รู้สึกเหมือนกับว่าข้างล่างนั้นกำลังเชื้อเชิญให้ฉันกระโดดลงไป"
"ฉันอ่านงานเขียนของตัวเองอีกรอบ แล้วมองไปที่ใต้หลังคา ฉันอ่านอีกรอบ แล้วมองไปยังพื้นดินเบื้องล่าง ฉันขว้างต้นฉบับออกไปในอากาศ กระดาษหลายแผ่นปลิวเคว้งคว้างไปทั่วค่าย ท่ามกลางความเงียบของค่ำคืนนั้น โอ! มันช่างวิเศษที่สุด"
...
"ใช่! มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจริงๆ หลังจากนั้น ฉันก็วิ่งลงไปข้างล่างเพื่อเก็บกระดาษที่ค้างอยู่ตามต้นไม้พุ่มไม้ แล้วก็ตัดสินใจฉีกมันทิ้ง ก่อนที่จะมีใครได้อ่านมัน"
"ความใฝ่ฝันเป็นสิ่งที่ดี เป็นเชื้อเพลิงสำหรับคุณ เป็นพลังสร้างสรรค์ในสิ่งที่งดงาม แต่อย่ายอมให้มันกลืนกินคุณเข้าไปเท่านั้นแหละ แล้วมันจะไม่มีวันทำให้คุณเสียใจ"
"คุณจะเป็นนักเขียนที่ดีได้ คุณจะต้องรู้ว่ามันยากลำบากแค่ไหนกว่าที่ใครสักคนจะก้าวมาได้ และคุณก็สามารถเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นที่ก้าวออกมาจนได้"
....
"และฉันก็หวังว่าคุณจะก้าวออกมาประสบความสำเร็จให้ได้"
เป็นเรื่องราวสั้นๆ ที่น่ารักดีนะ
กับการทุ่มเทใจกาย
เพียรพยายามเพื่อการเขียนมากมายขนาดนั้น
...
กำลังนึกว่าตอนนั้นฉันฉีกหนังสือหน้านี้เก็บเอาไว้ทำไม ทั้งๆ.ที่เรื่องราวของมันก็ไม่ได้แหลมคมควรค่าแก่การเก็บรักษาอะไรขนาดนั้น กำลังพยายามนึกอยู่ว่า--ในช่วงเวลานั้นฉันกำลังทำอะไร
..
บางที ฉันอาจจะกำลังพยายามเขียนอะไรบางอย่างอยู่ก็ได้
บางที ฉันอาจจะฉีกหนังสือหน้านี้เก็บเอาไว้ให้กำลังใจตัวเอง--ก็เป็นได้เหมือนกัน
ดังนั้น ถ้าตอนนี้ มีใครกำลังพยายามเขียนอะไรของคุณเองอยู่ล่ะก็
โปรดรับมันเอาไว้---เพื่อเป็นกำลังใจของคุณต่อไปด้วย
...
การเขียนหนังสือทั่วไป
ใครที่อ่านออกเขียนได้--ก็ย่อมจะเขียนได้
...
แต่การเขียนหนังสือ"ให้ดี"นั้นยาก ...
ขอบอกเลยว่า---โคตรยาก!
...
จนถึงทุกวันนี้ แม้จะอยู่กับมันมานานปี--งานเขียนก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับฉันเสมอ ทุกครั้งที่เริ่มต้นเขียนงานชิ้นใหม่ ฉันก็คิดว่ามันยังยากอยู่เสมอ
...
โดยเฉพาะเมื่อเรามีเรื่องราวในหัวมากมายที่อยากจะถ่ายทอดออกมา
แต่ทว่า...เบื้องหน้าเรา ก็ยังอาจจะเป็นแค่หน้าจอว่างเปล่า--อยู่ร่ำไป
-*
นั่นล่ะ --เรื่องยากที่สุด
ยากเสียยิ่งกว่าการที่ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรหลายเท่านัก
...
ฉันเคยได้ยินคนพูดดูถูกงานเขียนบางประเภทว่า
"งานแบบนี้ฉันก็เขียนได้"
ฉันท้าให้ลองเลย---ลองดูสิ --สักครั้ง
แล้วคุณจะไม่พูดอย่างนั้นอีกเลยชั่วชีวิต :)
..
เพราะอะไรน่ะหรือ
...
เพราะงานเขียนบางอย่าง
เวลาเราอ่าน มันก็เหมือนจะเขียนออกมาง่ายๆ
อ่านง่ายๆ เข้าใจได้ง่ายๆ
แต่บางทีคนเขียนอาจจะต้องใช้ประสบการณ์ทั้งชีวิตของตน
ขีดเขียนมันขึ้นมาด้วยความอุตสาหวิริยะ
โดยใช้พลังในชีวิตของเขาไปจนหมดสิ้น
เพื่อถ่ายทอดมันออกก็ได้
ทำเล่นไป :)
..
หลายปีมาแล้วเคยเจอพี่คนหนึ่ง--แกทำงานบริษัทโฆษณา เป็นคนเก่งที่มีวิธีพูดจา"เจ็บ"ที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ฉันเคยเจอ วันนั้นคุยกันเรื่องการเขียนและวรรณกรรมอะไรต่างๆ นานา พี่เขาจึงเล่าให้ฟังว่า คราวหนึ่งแวะไปร้านหนังสือ ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งเข้า-ใครเขียนก็ไม่รู้(ตอนที่เล่าพี่แกก็จำชื่อคนเขียนไม่ได้เสียแล้ว-ฮ่า)
..
คุณพี่เขาเห็นคำโปรยบนปกหนังสือประมาณว่า--คนเขียนใช้เวลาเกือบสิบปีเพื่อเขียนหนังสือเล่มนี้-แกว่ามันน่าสนใจดี...ก็เลยซื้อมาลองอ่าน
--
พี่เขาเล่าว่าวันนั้น---"พอดีกูปวดขี้ เลยถือหนังสือเล่มนี้เข้าไปอ่านในส้วมด้วย ก็แบบว่าอ่านไปขี้ไปประสากูอ่ะนะ --กูอ่านไปกูก็คิด เนี่ยนะ--เขียนสิบปี กูนั่งขี้ป้าดเดียวก็อ่านจบเล่มแล้ว"
...
"กูก็เลยไม่เข้าใจจริงๆ --ว่าพวกมึงอยากเป็นนักเขียนไปหาพระแสงของ้าวอะไรกันฟระ!"
..
:)
ใ
...