Last update : 04 March 2009
............
แต่ถ้าใครเคยได้อ่านหนังสือ"จดหมายรักยาขอบ"อาจต้องคิดใหม่ เพราะตัวคุณเองอาจเป็นคนเอ่ยถ้อยคำล่อแหลมเหล่านี้เสียเอง--เหมือนฉัน
ธรรมดาของนักเขียน นักประพันธ์ ถ้าเจอคู่เขียนจดหมายรักตอบโต้ที่คู่ควรแล้ว จดหมายรักของพวกเขามักจะสวยงามบรรเจิดเพริศแพร้ว มีเสน่ห์ชวนอ่านชวนหลงใหล มีคุณค่าทางวรรณศิลป์ไม่น้อยไปกว่างานเขียนประเภทอื่นเลย
ในงานเขียนชื่อ "เรื่องไม่เป็นเรื่อง"ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารปิยมิตรรายสัปดาห์ ยาขอบเขียนไว้ว่า "จดหมายรักมีตั้งปี๊บ จะจุดอารมณ์ให้คุขึ้นด้วยไฟสวาท อ่านเรื่อยมาทีละราย จนมาพบรายที่ข้าพเจ้าอายุ 32 ปี และเธอเพิ่ง 20 กำลังสะพรั่ง ด้วยแตกเนื้อสาวได้พบยอดรักอีกครั้ง หลังจากสิบปีก่อนที่บังอาจรักผู้หญิงที่แก่กว่าเมื่ออายุ 22.."
สาว "เพิ่ง 20" ที่ว่านี้ก็คือ พนิดา ภูมิศิริทัต ส่วนผู้หญิงแก่กว่าที่ยาขอบพูดถึงนั้น ฉันเข้าใจว่าเป็นคนเดียวกับที่ยาขอบเอ่ยถึงในจดหมายรักฉบับหนึ่งของเขาว่า
รักที่สุดคือ "พี่เมีย" นี่นะ-ร้ายไหม
จดหมายรักระหว่างนักประพันธ์เอกผู้รุ่งโรจน์ประจำยุคสมัยอย่าง "ยาขอบ" กับนักเรียนการประพันธ์สาวสวยอย่าง "พนิดา" มีสีสันบรรเจิดใจจริงๆ คู่นี้มีความรักในการเขียนหนังสือเหมือนกัน
ความรักที่มีต่อกัน ความอ่อนไหว ความละเอียด ละเมียดละไม ต่อความรู้สึกนึกฝันของตน ประกอบความจัดเจนในการ"ถ่ายหัวใจ"ออกมาเป็นตัวอักษร จึงทำให้จดหมายรักระหว่างเขา-เธอเพริดแพร้วพรรณรายเป็นอย่างยิ่ง
ฉันอ่าน “จดหมายรักยาขอบ” ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน จำได้ว่า เกือบตายแน่ะ กับถ้อยคำหวานคมในหนังสือเล่นเอาฉันหายใจไม่ออก ต้องออกไปสูดอากาศพักหายใจอยู่หลายหน เมื่ออ่านจบชีวิตฉันก็เปลี่ยนไปด้วยการชงกาแฟไม่เติมน้ำตาลอยู่เป็นเดือนๆ เชียวละคุณ
นอกจากได้เจอ "คู่เขียนที่คู่ควร" แล้ว เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้จดหมายรักของยาขอบ-พนิดา รุ่มร้อนเร้าใจน่าติดตามคงจะเป็นเพราะอุปสรรคความรักใหญ่หลวงที่คู่รักคู่นี้ต้องเผชิญเรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า "ใช่ว่าดอกฟ้าทุกดอกจะโน้มกิ่งลงมาให้หมาวัดเด็ดชมสำเร็จทุกรายไปนี่นา"
ตอนลุ้นว่าจะเด็ดได้-ไม่ได้นี่แหละ ที่เร้าใจนัก
ในจดหมายที่ยาขอบเขียนถึงพนิดา มักจะแฝงความรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยน้อยค่า ขณะที่เห็นว่าฝ่ายหญิงนั้นสูงส่งสุดเอื้อมตลอดเวลา คราวหนึ่ง...ยาขอบถึงขนาดใช้สำนวนว่า "ฉันเป็นคนชั่วช้าที่รักคุณ" กับพนิดาเลยทีเดียว
ไม่แน่ใจนักวาเป็นแค่ "สำนวน" เพื่อแสดงความยกย่องฝ่ายหญิงเท่านั้นหรือไร เพราะเท่าที่อ่านเบื้องหน้าเบื้องหลังชีวิตยาขอบในช่วงนี้ ฉันไม่ค่อยรู้สึกว่าเขาเป็น "หมาวัด" เท่าไหร่นัก เนื่องว่ามีเกียรติยศชื่อเสียง มีศักดิ์ศรีของเขาพอตัวอยู่
ดังในจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งยาขอบวาดฝันถึงอนาคตที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกับพนิดาว่า เขาจะเริ่มออมเงินจากเงินเดือน และเงินจากการเขียนหนังสือ "ผู้ชนะสิบทิศ" เพื่อสร้างเรือนหอ "กระท่อมสัปรังเคหลังหนึ่ง ซึ่งพอจะอยู่ได้อย่างน้อยก็สักปีสองปี จนกว่าจะหาดีๆ อยู่ใหม่"
ยาขอบจะตั้งชื่อเรือนหอหลังนี้ติดไว้ตรงทางเข้าบ้านว่า "กระท่อมผู้ชนะ"
ยาขอบเขียนบอกพนิดาว่า "คนคงคิดว่า ฉันตั้งชื่อมันจากเรื่องที่ทำเงินให้แก่ฉัน แต่ความจริงไม่ใช่ ฉันหมายถึงเจ้าของกระท่อมนั้นได้ชนะสิ่งหนึ่งซึ่งร้อนอยู่ในดวงใจเขาเอง"
ทั้งยังพูดถึงความสำเร็จในงานเขียนตัวเองให้พนิดาฟังในจดหมายอีกฉบับว่า "ฉันคุยได้อย่างไม่กระดากปาก หรือกลัวใครว่าโม้เลย ไม่มีนักเขียนในเมืองไทยที่ถือการเขียนเป็นอาชีพจริงจังจะทำตัวหนังสือให้เป็นเงินได้ในระยะนี้เหมือนฉันเลย"
ส่วนอีกฉบับก็บอกว่า "ฉันเขียนหนังสือถึงดา ได้ตัวหนังสือรวดเร็วจนประหลาด เดี๋ยวหน้า เดี๋ยวหน้า ถ้าแต่งเรื่องรวดเร็วอย่างนี้รวยตาย"
นั่นแสดงว่ายาขอบประสบความสำเร็จรุ่งโรจน์ในเส้นทางนักเขียนของยุคนั้นแล้ว ชื่อดังออกอย่างนั้น จะต่ำต้อยได้อย่างไร หากจะต่ำต้อยอยู่บ้าง คงเป็นเพราะว่ายามนั้นยาขอบมีภรรยาแล้วมากกว่า
ไม่ใช่คนเดียว แต่ภรรยามีอยู่แล้วถึง 4 คน!
ไม่ได้เขียนผิด-ไม่ได้นับผิด
ตอนจีบพนิดา ยาขอบมีเมียอยู่แล้ว 4 คนจริงๆ
พนิดาเองทั้งรู้อยู่เต็มอก แต่ก็มีใจให้หนุ่ม 32 เมีย 4 คนนี้อยู่ดี เธอเคยฉะอ้อนถามยาขอบว่า "รู้ไหมคะ ทำไมดิฉันจึงรักคุณ"
ยาขอบได้ยินคำถามนี้ก็เป็นอึ้งไปเหมือนกัน เขาบอกกับคนอ่านว่า "เราไม่ใช่คนรูปสวยรวยทรัพย์ หาคำตอบไม่พบว่า เหตุไฉนไยเธอจึงมารักเรา จึงตอบอย่างโง่ที่สุด แต่เป็นจริงที่สุดคือไม่ทราบ"
พนิดาตอบมาว่า "ถ้างั้นขอให้ทราบ" แล้วเธอก็เอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้นว่า "เมียมีอยู่ด้วยกันเดี๋ยวนี้ถึง 4 คน ยังมาเกี้ยวเขาได้นะใจคอ...ฉันรักคุณเพราะฉันไม่รักตัวเองไงคะ"
อ่านคำเธอแล้วอยากกัดลิ้นตัวเองตายคาหนังสือเลยเชียว
"ฉันรักคุณเพราะฉันไม่รักตัวเอง"
นี่นะ! เจ็บจริงๆ
อันที่จริงเธอคงไม่ได้ใช้สมองคิดหรอก เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของหัวใจล้วนๆ "คนเราเลือกคนที่เราตกหลุมรักไม่ได้นี่นา" แม่นางเอกในหนังเรื่อง The Love Letter ของปีเตอร์ ชาน เคยพูดไว้อย่างนั้น
ด้วยเหตุฉะนี้ Love Affair ของยาขอบกับพนิดาจึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ เจอหน้ากันก็ต้องซ่อนความในใจ ไม่สามารถคุยกันหรือควงคู่กันไปไหนอย่างเปิดเผยได้เหมือนคู่รักอื่นๆ
จดหมายเกือบทุกฉบับที่ทั้งสองเขียนถึงกัน จึงล้วนเอ่ยอิงถึงอุปสรรครักใหญ่หลวง แถมเป็นปัญหาโลกแตกทั้งสิ้น เรื่องลูกเมียของฝ่ายชายบ้างละ เรื่องสายตาของสังคมที่จับจ้องอยู่บ้างละ
ผู้หญิงสมัยนั้นลองมามีความรักผิดรูปรอยแบบนี้ ทั้งเธอยังเป็นสาวสวยสาวสังคมจ๋าอีกด้วย คงต้องเจอแรงกดดันสาหัสเอาการทีเดียว
จดหมายรักของเขา-เธอบางฉบับจึงรันทดท้อห่อเหี่ยว แต่ด้วยแรงรักล้นที่มีต่อกัน บางฉบับจึงฮึดขึ้นมาหวัง หวานๆ ไหวๆ ต่อกันอีกได้
คนอ่านน่ะสิ ซวยไป เพราะอ่านๆ ไปใจมันจะขาดเอาให้ได้
รักของเขา-เธอผิดศีลธรรมไหม ผู้ที่ได้อ่านทุกคนคงตอบได้พร้อมเพรียงว่าผิดแน่ ยิ่งฝ่ายชายสัญญิงสัญญากับฝ่ายหญิงว่าจะเลิกร้างกับภรรยาเพื่อมาแต่งงานใหม่กับเธอ นั่นก็ยิ่งน่าตกใจ
แต่เมื่อเห็นความรักที่ทั้งสองแสดง่อกันในจดหมายเหล่านี้แล้วเชื่อว่าคนอ่านทั้งหลาย คงต้องเอาใจช่วยเชียร์ให้ทั้งคู่ได้สมรักสมหวังในรักนี้ให้ได้
ในการเอาใจช่วยเชียร์ จึงอาจจะมีคำพูดชวนตระหนกที่ว่า"ขอให้หย่าเมียไวๆ ขอให้ได้มาแต่งงานกับสาวเอ๊าะๆ" หลุดปะปนออกมาด้วยอย่างช่วยไม่ได้
ด้วยเหตุที่เป็นรักล่อแหลมต่อศีลธรรมอันดี ด้วยความอัดอั้นจากสายตาของสังคม คงด้วยอุปสรรคเหล่านี้เองจึงทำให้ความรักความปรารถนาทั้งหมดทั้งมวลที่ยาขอบกับพนิดามีต่อกัน จึงหลั่งไหลถ่ายเทจากก้นบึ้งใจ กลายเป็นตัวหนังสือในจดหมายรักลึกซึ้งจนหมดจดหมดใจ
...
เป็นถ้อยคำของความรู้สึกลึกซึ้ง มีพลังแรงล้น
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
...................................................................
แล้วก็เอาทิ้งตะกร้าเสียทีหนึ่ง นี่คือกระดาษที่บรรจุนวนิยายเรื่องสั้น
คุณค่ายังไม่เข้าถึงมาตรฐาน ที่สำนักพิมพ์นั้นปรารถนา"
...
"การปฏิบัติต่อกระดาษเหล่านี้เช่นนี้
เป็นเรื่องจำเป็นจำใจที่หนังสือพิมพ์ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เพราะถ้าไม่ทำดังนั้น
ภายในระยะสองสามปีสำนักพิมพ์ก็จะต้องหา
ไว้เป็นห้องเก็บต้นฉบับ
.........
"จากกระดาษที่ถูกโยนผลุงลงไปในตะกร้านี้เอง
ก็ทำให้หลับตาเห็นบุคคลจำพวกหนึ่ง
ซึ่งมีแทรกแซงอยู่ทั่วทุกสารทิศ
ไม่ว่าจะเป็นเหนือหรือใต้ของเมืองไทย
ไม่ว่าจะหนาวจัดหรือร้อนจัดเกินไป
ไม่ว่าจะดึกดื่นค่อนคืน
และจะเป็นจังหวัดที่มีไฟฟ้าอำนวยความสว่างให้หรือไม่ก็ตาม
แต่บุคคลเหล่านี้ก็ยังหลังขดหลังแข็งฝักใฝ่อยู่กับสิ่งที่ตัวรัก
โดยมิได้คำนึงความร้อนหนาวเกินไป
หรือความขมุกขมัวประการใดเลย"
......
"บุคคลประเภทนี้นั่งหลังขดหลังแข็งจดจ่ออยู่กับสิ่งเดียว
คือการประดิษฐ์คิดร้อยกรองตัวอักษรให้ออกมาเป็นเรื่องเป็นราว
แล้วก็หวังไปฝันไปว่าเรื่องราวที่ตัวประดิษฐ์คิดแต่งขึ้นนั้น
คงจะสบอัธยาศัยของผู้ที่ได้อ่าน
ซึ่งโดยลักษณะการนั้นเขาก็ย่อมจะได้รับความชื่นใจ
มาเป็นเครื่องบำรุงหัวใจของตนเอง"
....
"ข้าพเจ้าหลับตาเห็นความหมั่นหมาย
ของเจ้าของกระดาษที่ถูกทิ้งตะกร้าว่าเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นทุกคราวที่เห็นกองกระดาษเหล่านี้
ถูกกวาดลงไปสู่ตะกร้า
จึงสุดแสนที่จะเจ็บปวดในใจแทน"
...
"ด้วยประการฉะนี้ ข้าพเจ้าซึ่งเป็นคนเลว
ในเรื่องขี้เกียจเขียนจดหมายติดต่อกับใครๆ ในทางกิจการอย่างที่สุด
ก็จำต้องทรมานความรู้สึกของตัวเอง
นั่งลงตอบจดหมายของผู้ที่รักและริเริ่มการประพันธ์
ซึ่งถามไถ่ถึงการแต่งหนังสืออยู่เนืองๆ"
....
"จนกล่าวได้ว่าบัดนี้ข้าพเจ้าได้ตอบจดหมาย
ของมิตรที่ไม่รู้จักหน้าจำพวกนี้ไปแล้วไม่น้อยกว่า 500 ฉบับ
การนั่งหลังขดหลังแข็งเพื่อทำสิ่งที่ส่งไปให้เขาโยนลงตะกร้า
ก็เป็นไม้เรียวของความอำมหิต
ที่โลกได้ให้แก่ผู้รักและริเป็นนักประพันธ์อยู่แล้ว
ข้าพเจ้าไม่อาจระงับความเห็นอกเห็นใจบุคคลจำพวกนี้
จึงต้องตอบจดหมายไปปลุกปลอบ
และบางทีก็แนะนำไปตามทีตามเกิด"
...
"ก็จดหมายที่เขียนเพื่อการปลุกปลอบมิให้คนท้อแท้เสียกำลังใจนั้น
จะเขียนกันบรรทัดสองบรรทัดได้เมื่อไรเล่า
และทั้งที่ต้องเขียนยาวอยู่แล้ว
แต่จะให้เขียนยาวจนจุใจความ
ที่อยากแนะนำเป็นแต่ละรายบุคคลนั้นย่อมเหลือวิสัย"
...
"จึงมีทางเลือกเดียวก็แต่เขียนถึงสิ่งที่ตนสำคัญว่า
จะมีประโยชน์ออกไปให้แพร่หลายเสียในคราวเดียว
คือผ่านการเป็นตัวพิมพ์ออกมา
“สินในหมึก” จึงเกิดขึ้นดังนี้"
......
"การจดปากกาลงไปในสิ่งที่ตนเองพรั่นพรึงอย่างยิ่ง
แต่ก็ยังฝืนทำมันออกมา ก็เพราะความเห็นอกเห็นใจ
ในเพื่อนผู้มารักศิลปะอันเดียวกันดังนี้
และชะรอยเป็นกุศลที่วิชาชีพทางประพันธ์
จะคลี่คลายขยายตัวออกไปในแผ่นดินไทยเบื้องหน้าอย่างหนึ่ง
“สินในหมึก”ที่เขียนลงในประชามิตรด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึงนั้น
จวบจนบัดนี้ก็ยังมิได้ยินเสียงถุยน้ำลายใส่ข้าพเจ้าเลย สาธุ"
สินในหมึก
ภาค 1
1.
พนิดาของฉัน
คุณรู้ไหม ว่าการน้อยใจแล้วตีโพยตีพายของผู้หญิงน่ะ ฉันคุ้นเสียจนชอบแอบหัวเราะ แต่เจ้าสิ่งนี้เมื่อมาปรากฏที่คุณ ฉันมิได้หัวเราะเลย ได้สงบงันไปเพราะความตื่นเต้นและเต็มตื้นด้วยความปีติอย่างหาที่เปรียบมิได้ทีเดียว ความน้อยใจของพนิดาเป็น “บทเรียนด้วยของจริง” อันมีค่าสูงแก่ความรู้สึกของมนุษย์ผู้ชอบล้อโลกเป็นอันมาก
...
ทั้งการตีโพยตีพายนั้นเล่า ก็ชั่งเป็นการตีที่ถูกจุดอ่อนของฉันอย่างจังที่สุด เป็นการตีถูกชนิดที่ฉันไม่เคยถูกใครตีเช่นนั้นมาก่อนเลย อภินิหารของถ้อยคำนี่ชั่งมหัศจรรย์จริงหนอ สามารถทำให้หัวใจคนฉ่ำชื่นทั้งๆ กำลังถูกเชือดชำแหละอยู่ที่ตรงหัวใจนั้นเอง
ถูกอย่างที่คุณคิดแล้ว แม่ดวงจันทร์ในน้ำของฉัน ที่ว่าความเป็นผัวจริงจังของผู้ชายอย่างฉันก็คือความตายเข้าไปค่อนชีวิตของกุลสตรี ฉันรู้จักตัวฉันเองดีนัก และนี่ก็คือการตีถูกจังที่สุด จึงขอสนับสนุนการตีโพยตีพายประโยคนี้ด้วยความเห็นอกเห็นใจทีเดียว
แต่ถึงจะสนับสนุนในเชิงรับผิด ฉันก็ไม่ขออภัยในความผิดอันเป็นเหตุแห่งการตีโพยตีพายของคุณ ฉันจะทำอย่างไรให้กับการตกลงใจที่พอใจเสียแล้ว ฉันจะล้อโลกให้ถึงที่สุด เพื่อจะดูสิว่าตัวเองจะเป็นอย่างไร
และถ้าเสียท่าก็จะโยนความผิดพลาดในชั่วชีวิตนี้ให้แก่คำสาปของพรหม พนิดาจึงมีสิทธิ์ที่จะตีโพยตีพายได้ต่อไปตลอดกาลที่คุณยังมีความอดทน
ส่วนความน้อยเนื้อต่ำใจนั้น ยอดรักของฉันย่อมรู้ว่าฉันรับผิดชอบง่ายก็ต่อเมื่อฉันแน่ใจว่าตัวเองทำผิด เพราะฉะนั้นในกรณีซึ่งก่อให้พนิดาเกิดความน้อยใจนี้ มหาโจรใจอ่อนของคุณจะไม่ยอมรับผิดเป็นอันขาด
จริงอยู่แม้ว่าจะเคยฟังปรารภมาหลายครั้ง และทั้งในระยะนี้ก็ยังจะต้องรับว่ายิ่งได้ยินถี่เข้า แต่ฉันก็ไม่มีโอกาสได้รู้ถึงความประสงค์แท้จริงเบื้องหลังการพูดถึงบ่อยๆ ของคุณนั้นเลย
ขอให้พิจารณาอย่างยุติธรรมเถิด ฉันเดินมาแต่หนไหน หรือมีแว่นทิพย์อันใดอยู่ในมือเล่าจึงจะได้ลอดรู้เข้าไปถึงส่วนลึกแห่งห้องหัวใจของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเคราะห์กรรมดลเธอมิให้หยุดรักชายชั่วคนหนึ่งได้ แต่เธอก็สุดแสนจะเปิดหน้าออกมาสู้กับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางหยามหยันทั้งหลายได้
ดังนั้นความน้อยใจจึงบันดาลให้เธอระบายถ้อยคำที่มีชีวิตออกมาว่า “เลิกบ้าที่ไปนั่งหวังช่วยโจรใจเพชรให้เป็นคนดีเสียที ฉันจึงเกิดต้องการแรงกล้าที่จะแต่งงานกับการแต่งหนังสือ เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวในโลกแท้ๆ ที่คุณมีให้ฉันระลึกถึงได้ โดยไม่ต้องนึกแช่งด่าตัวเองควบไปด้วย” อนิจจา ฉันไม่รู้เลยว่าระยะนี้ที่พนิดาเซ้าซี้ถึงเรื่องนี้ยิ่งขึ้น ก็ด้วยได้กำหนดความปรารถนาไว้เช่นนี้เอง
นี่ฉันทำบาปใหญ่ไว้กับดวงใจเยาวมิตรที่ดีที่สุดในชีวิตและมีวิธีเดียวที่จะลดบาปอันนี้ได้ ก็ด้วยต้องพูดในเรื่องที่ฉันกระดากใจไม่อยากพูดฉะนั้นหรือ?
ฉันเกลียดทุกคนที่ถามฉันถึงหลักเกณฑ์วิธีแต่งหนังสือ แม้ว่าผู้ถามนั้นๆ จะน่าสนับสนุนเพราะเหตุมีใจมาจดจ่อในงานที่ฉันรักก็ตาม ฉันเกลียดเพราะข้อถามชนิดนี้เท่ากับต้อนให้ฉันออกไปยืนในที่ที่จะได้รับความอับอาย และได้ยินแต่เสียงถุยน้ำลาย
อาชีพของฉันคือการเขียนหนังสือ ชีวิตฉันแขวนอยู่กับการแต่งหนังสือ แต่ถ้าจะพูดถึงวิธีทำก็มีความอัดอั้นตันใจ ไม่ใช่ไม่มีวิธีทำ จะบอกว่าไม่มีนั้นไม่ได้ ขืนพูดเช่นนั้นตัวหนังสือที่ฉันเขียนไว้ก็จะลุกขึ้นมาเต้นปรักปรำว่าฉันเป็นคนโกหกกลางเมือง
วิธีและหลักเกณฑ์น่ะมี แต่ทีนี้กลัวว่าถ้าเทียบเคียงกับหลักเกณฑ์ของท่านผู้รู้ หลักซึ่งได้จากความไม่รู้หลักของฉันก็จะกลายเป็นฟองสบู่ไป
อันที่จริงหลักเกณฑ์ในการประพันธ์นั้นเห็นสาธยายกันไว้หลายต่อหลายรายแล้ว แต่ท่านนั้นๆ เป็นผู้รู้ทรงคุณวุฒิอันดีฝ่ายการหนังสือ ท่านจึงสามารถแยกแยะชั้นเชิงของการประพันธ์โดยลำดับหลักเกณฑ์ว่า อะไรก่อนอะไรหลังได้แม่นยำตามวิวัฒนาการแห่งวิชาอักษรศาสตร์
ส่วนฉันนั้นนอกเสียจากจะเรียกตัวเองว่าผู้รู้ในเชิงอักษรศาสตร์ไม่ได้แล้ว เพื่อความบริสุทธิ์แก่ใจแห่งตนก็ซ้ำจะต้องเน้นให้แน่ตระหนักลงไปอีกว่า ตนยังต่ำต้อยในวิชาการอันนี้อยู่จริงๆ
แต่ถ้าเผอิญจะมีสักสิ่งหนึ่งที่พอจะหนุนใจตนเองให้ถึงกับกล้าเขยิบขึ้นมาพูดเรื่องขีดๆ เขียน ๆ โดยทำนองแนะนำแก่ผู้ริเริ่มบ้างแล้ว เจ้าสิ่งนั้นก็ต้องเป็นความที่ตนเองได้ทำฝากไว้เป็นอย่างแปลกประหลาดอยู่บ้างสำหรับวงแคบแห่งการประพันธ์นวนิยายของเมืองไทย นับแต่อดีตมาจนปัจจุบัน
แต่ถึงแม้จะมีงานทำไว้แล้วสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ฉันก็ยังอดพรั่นพรึงเสียมิได้ เมื่อจะต้องชี้แจงถึงหลักเกณฑ์ที่กุศลได้บันดาลให้ตัวได้พบเห็นเอง
แต่ถึงจะหวาดหวั่นพรั่นพรึงเพียงไร บัดนี้ก็เข้าที่คับขัน จำต้องกัดฟันทำใจกล้าพูดถึงสิ่งที่ไม่เคยเต็มใจจะบอกเล่าแก่ใครออกไป เพราะยอดหญิงของฉันตัดรอนฉันแล้ว เขาจะแต่งงานกับการแต่งหนังสือ ฉันก็มีทางแต่จะพยายามทำหน้าชื่นอวยชัยให้พรเขา แล้วก็แอบเอาจูบลอบเหน็บหลังการแต่งหนังสือหรือขอเรียกว่ายอดรักคนใหม่ของเขาไป
โอ้ ผู้หญิงคนนี้จะใจแข็งสักเพียงไหนหนอ เขาจะระลึกถึงฉันบ้างไหมหนอ เมื่อหัวใจเขาได้ถูกจูบอยู่ทุกคราวที่มือเขาจับงานประพันธ์
ฉันจะปลุกปั้นพนิดาให้เป็นนักประพันธ์มีชื่อให้จนได้ จะพยายามทุกวิถีทางที่ฉันนึกว่าจะช่วยให้คุณบรรลุความสำเร็จในงานประเภทนี้ เพราะในความสำเร็จของพนิดานี้เอง ผู้ชายที่ถูกปักหน้าตราชื่อว่าเป็นโจรก็จะได้นอนหลับสนิทอยู่ในดวงหทัยของราชินีองค์หนึ่งแห่งโลกการประพันธ์เมืองไทย