ว่าด้วยวิธีเดินทาง
ในเส้นทางที่ไม่ค่อยมีคนเดิน :)
ตำรับของโรเบิร์ต ฟรอสต์
......
เมื่อค่ำวาน ฉันมีโอกาสได้นั่งคุยกับคุณไมเคิล เชาวนาศัย ศิลปินตัวแสบในดวงใจอยู่หลายชั่วโมง ด้วยเรื่องนั้นเรื่องนี้ คุยกันจนเหนื่อย หัวเราะกันจนเมื่อยตับไปหลายรอบ ได้โปรเจคท์ใหม่ๆ ที่จะทำร่วมกันตลอดปีนี้อีกสองสามชิ้น
..
ก่อนแยกย้าย ฉันถามพี่เขาไปว่า"ชีวิตพี่ช่วงนี้โอเคแล้วใช่ไหม"คุณไมเคิลตอบได้คมมากว่า "พี่ก็ยังต้องพายเรืออยู่นะ เพียงแต่ว่าเราไม่ต้องออกแรงจ้วงมาก เรือมันก็เคลื่อนไปข้างหน้าได้ เพราะตอนนี้มันมีแรงน้ำไหลช่วยพยุงด้วย ไม่ต้องเหนื่อยมากเหมือนเมื่อก่อน"
ดูเหมือนว่าสิ่งที่คุณไมเคิลดูจะมีความสุขและภาคภูมิใจที่สุดเมื่อได้เอ่ยถึงก็คือครอบครัว"ตอนนี้ครอบครัวพี่เริ่มยอมรับสิ่งที่พี่ทำ ทุกคนเข้าใจแล้วว่าการที่เราเลือกเส้นทางนี้ไม่ใช่เรื่องผิด เราไม่ได้ทำเล่นๆ แต่เราเอาจริง ตั้งใจจริง สังคมก็เริ่มยอมรับ ครอบครัวเราก็มองเห็นตรงนี้ พี่แฮปปี้มาก"
...
คุณไมเคิล เชาวนาศัย กำลังจะจัดแสดงผลงานศิลปะชุดใหม่ของเธอ ที่คัดมันดูแกลเลอรี่ ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้
....
เอาไว้ใกล้ๆ วันจะมาแจ้งรายละเอียดแถวนี้อีกที ตอนนี้บอกล่วงหน้าได้แต่เพียงว่า ...ยังแสบอีกเหมือนเคย :) เผลอๆ อาจจะแสบกว่าทุกครั้ง เพราะเจ้าของผลงานแอบกระซิบว่า "พี่ทำงานได้เต็มที่ เพราะเจ้าของแกลเลอรี่รายนี้เขาไม่กลัวของร้อน" :)
.........................
..........................
....
...
...................................
.
ความสุขที่มีจริงและจับต้องได้ของคุณไมเคิลในวันนี้ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องราวหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามปีก่อน ในงานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อนเก่าโรงเรียนมัธยม
....
ในคราวนั้น ขณะที่นั่งคุยเฮฮากันอยู่ดีๆ จู่ๆ เพื่อนนักเรียนร่วมชั้นคนหนึ่งก็หันมามองหน้าฉันยิ้มๆ แล้วพูดว่า "เธอนี่ดีจังเลยนะ รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไรตั้งแต่เด็ก แล้วเธอก็ทำตามความฝันของตัวเองได้หมดทุกอย่าง"
...
ฉันไม่คิดมาก่อนว่าจะได้ยินอะไรเช่นนั้น ยังถึงกับอึ้ง พูดอะไรไม่ออกไปหลายวิฯ ก่อนจะอ้อมแอ้มบอกเพื่อนไปว่า "นี่...ชีวิตฉันไม่ได้สวยงามขนาดนั้นหรอกนะเธอ ถึงเป็นงานที่เราฝันก็เถอะ ปัญหาในการทำงานมันก็เยอะเหมือนกัน"
....
เพื่อนมัธยมทุกคนทุกกลุ่ม (รุ่นม.1-ม.3 กลุ่มหนึ่ง และรุ่น ม.4-ม.6 อีกกลุ่มหนึ่ง) ต่างรู้กันดีว่าฉันมีฝันเดียวที่แน่วแน่มาก นั่นคือความฝันเกี่ยวกับการทำหนังสือเขียนหนังสือ ประจักษ์พยานมีอยู่ในหนังสือของโรงเรียนและเฟรนด์ชิพทุกเล่ม
....
ความทรงจำของเพื่อนเก่าเหล่านี้เหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้ตั้งแต่ครั้งนั้น มันหยุดนิ่ง ไม่ได้ผุพังเน่าเปื่อยหรือเสื่อมสลายไปกับกาลเวลาที่ผ่านไปแล้วตั้งเนิ่นนาน
....
มันนานจนเราเองก็ชักจะเลือนๆ ไปบ้างแล้ว
ว่าความฝันวัยเด็กของเรานั้นเป็นเช่นไร
....
แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนเก่าของเราทุกคนจะยังจดจำเรื่องเกี่ยวกับตัวเราและความฝันของเรา ได้หมดจดคมชัดเสียยิ่งกว่าตัวเราเองเสียด้วยซ้ำ
.................................
.........................
....
วันนั้นยังเก็บคำพูดของเพื่อนกลับมาคิดตลอดทางกลับบ้าน
..........
ช่วงนั้นฉันมีปัญหาเกี่ยวกับการงานหลายเรื่องที่ต้องคิด ต้องตัดสินใจ แต่ก็ยังลงเอยกับตัวเองไม่ได้สักที ห่วงตรงนั้น พะวงตรงนี้ โน่นก็ดูดี นี่ก็เหมือนจะใช่ เลยไม่รู้จะเอาไงดี ละล้าละลังไม่ต่างอะไรเลยท่อนแรกๆในกับบทกวี The Road Not Taken ของโรเบิร์ต ฟรอสท์ บทนี้
....
ตั้งแต่ล่วงเข้าสู่วัยเลขสามเป็นต้นมา ดูเหมือนว่าการตัดสินใจเรื่องต่างๆในชีวิตของคนเราจะยุ่งยากมากขึ้นเรื่อยๆ สังเกตว่าเราต้องใช้เวลาคิดนานขึ้นเรื่อยๆ
...........
ความเป็นผู้ใหญ่ในความหมายหนึ่ง คงหมายถึงว่าเราไม่มีเวลาสำหรับความผิดพลาดมากมายเหมือนตอนเราเป็นเด็กอีกแล้ว
....
เราจึงไม่ค่อยหุนหันพลันแล่นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
.......
แต่บางครั้งมันก็มีข้อยกเว้น และจากคำพูดของเพื่อนเก่านี่เอง ที่เป็นเหมือนมีดผ่าตัดคมๆ ฟันฉับลงทุกปมทุกห่วงที่มัดแน่นในชีวิตช่วงนั้นจนขาดกระจุย ไม่เหลืออะไรต้องติดค้างคาใจอีกต่อไป
...
นั่นสิ เมื่อคนเราเดินทางมาไกลเกินฝันแล้วตั้งเยอะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ย่อมเปรียบเสมือนกำไรชีวิตล้วนๆ
........
เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว ตัวก็เบาลงเยอะ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเยอะ
...
เวลาในชีวิตมีเหลือน้อยลงไปทุกวัน
จะมัวไปเสียเวลากับสิ่งที่ "ไม่ใช่" อยู่ทำไมล่ะ
ใช่ไหม?
.....................
...................
...............
...
เคยเขียนเคยพูดบ่อยๆว่าชีวิตคนเราเมื่อเกิดมาแล้วก็เหมือนไก่ที่โดนเชือด เราทุกคนต่างถูกลวกน้ำร้อนถอนขนมาแล้วเรียบร้อย ขั้นต่อไปก็ขึ้นอยู่กับเราเองนั่นแหละ ที่จะ"เลือก"ทำชีวิตให้มันเป็น"ไก่ย่าง"หรือ"ไก่เน่า" :)
...
อย่างไรก็ตามที แม้ว่าเราตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเป็นไก่ย่าง สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็ใช่ว่าจะมีแต่น้ำจิ้มอร่อยๆ รออยู่ในถ้วยเสมอไป ...ก็ฉันนั้น
.............
บางทีจะเอาน้ำจิ้มแบบหวาน หรือน้ำจิ้มแบบเผ็ด ก็ยังต้องเลือกอีกรอบจนได้ :)
.........
ชีวิตคนเรามักจะมีเรื่องให้ต้อง "เลือก" อยู่เสมอ?
...........
.......................
Two roads diverged in a yellow wood,
And sorry I could not travel both
And be one traveler, long I stood
And looked down one as far as I could
To where it bent in the undergrowth;
Then took the other, as just as fair,
And having perhaps the better claim,
Because it was grassy and wanted wear;
Though as for that the passing there
Had worn them really about the same,
And both that morning equally lay
In leaves no step had trodden black.
Oh, I kept the first for another day!
Yet knowing how way leads on to way,
I doubted if I should ever come back.
I shall be telling this with a sigh
Somewhere ages and ages hence:
Two roads diverged in a wood, and I—
I took the one less traveled by,
And that has made all the difference.
The Road Not Taken
By Robert Frost
From Mounntain Interval,1920
...........
The Road Not Taken
"ทางที่ไม่ได้เลือก"
.........
ทางสองแพร่งทอดไกลในราวป่า
เสียดายว่าฉันเลือกได้เพียงสายหนึ่ง
ต้องดุ่มเดินลำพังหวังไปถึง
ปลายทางซึ่งเลี้ยวพุ่มไม้ลับสายตา
ฉันเลือกเดินบนเส้นทางที่ต่างไป
งามเหมือนทางอีกสายแต่รกหญ้า
รอคอยผู้แผ้วถางมรรคา
เหยียบย่ำทำทางมาให้น่าดู
ทางสองสายทอดไกลใบไม้สุม
โปรยคลุมเส้นทางยามเช้าตรู่
จุดหมายนั้นฉันใดใครจะรู้
ปลายทางฤานำสู่แห่งหนใด
ฉันเก็บทางแรกไว้เดินวันหน้า
แม้นว่าได้ย้อนคืนมาเลือกใหม่
เป็นทางเดินทางใดยังแคลงใจ
มิอาจเดินคร่อมสองสายเฉกเช่นนั้น
ฉันเพียงอยากจะเล่าขาน
ถึงสถานที่แห่งวัยวุฒิและวารวัน
ในป่ามีทางสองสายให้เลือกสรร
ย้อนรำลึกครั้งนั้นฉันถอนใจ
ทางสองแพร่งเหยียดยาวในราวป่า
มิอาจรู้เลยว่าปลายทางนำสู่หนไหน
ครั้งนั้นฉันเลือกเดินบนเส้นทางรกร้างที่ไม่ค่อยมีใคร
ชีวิตจึงพลิกผันไปนับแต่นั้น!
.............
.............
...............
หลายปีมานี้ เคยเอ่ยอ้าง เคยเขียนถึง เคยแปลบทกวี The Road Not Taken เอาไว้หลายครั้ง
….
หนังสือ “พระจันทร์พันดวง” ของฉันที่ตีพิมพ์ออกมาเมื่อปี 2545 ก็เคยเขียนถึง The Road Not Taken เอาไว้ในนั้นถึงสองเวอร์ชั่น
….
ข้างบนเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดที่ฉันลองแปลอีกครั้งในช่วงหลายวันมานี้
.......
นอกจากอยากทำให้มันกระชับกว่าสองเวอร์ชั่นก่อนที่เคยทำไว้แล้ว ก็เป็นเพราะว่าหลายเรื่องในชีวิตฉันช่วงนี้ทำให้ต้องคิดถึงบทกวีบทนี้อยู่บ่อยๆ
…….
ผลที่ออกมา รู้สึกว่ายังจืดชืดไปหน่อย ไม่ค่อยรู้สึกถึงสีสันสดสวยเหมือนภาษาอังกฤษต้นฉบับเขา
..
อย่างป่าเยลโลวู้ด(yellow wood)นั้น ก็ไม่รู้จะเขียนเป็นคำไทยออกมาอย่างไรถึงจะงามเท่าที่รู้สึกว่ามันงาม
….
ตามบทกวีต้นฉบับ ความรู้สึกฉันมันคือป่าสีทองอร่ามสองข้างทางที่ทอดยาวไปไกลสุดสายตา ไม่รู้ว่าปลายถนนสิ้นสุดตรงไหน เวลามองดูอะไรอย่างนั้น ใจมันคงวิบวิบไหวไหวดี
…
รู้สึกเหมือนกันไหม ว่าโรเบิร์ต ฟรอสต์ เขียนอะไรแบบนี้ได้ดีจังเลย มันกึ่งสุขกึ่งเศร้า กึ่งปีติ กึ่งใจหาย
………
หากยังจำได้ ใน entry ก่อนหน้านี้ ฉันเคยแปลบทกวีของโรเบิร์ต ฟรอสต์ไว้ในบล็อกนี้อีกบทหนึ่ง [ทัศนียภาพสูงต่ำล้วนผ่านตา] บทนั้นก็มี“ฉาก”เป็นภาพเปอร์สเป็คทีฟ ด้วยมุมมองระยะไกลเช่นกัน
…
ความรู้สึกเมื่อทอดตามองถนนสองสายที่ทอดหายไปในผืนป่า น่าจะเป็นความรู้สึกเดียวกับการป่ายปีนภูเขาสูงขึ้นไปอยู่บนยอดแล้วมองลงมายังพื้นเบิ้องล่างนั่นเอง
…
แต่น่าสังเกตว่า ยามใดที่ชีวิตต้องมีเรื่องให้คิดถึง The Road Not Taken สิ่งหนึ่งที่รบกวนจิตใจฉันได้ทุกครั้งก็คือ “ชื่อ” ของบทกวี
...
ฉันมักสงสัยอยู่เสมอว่า ทำไมโรเบิร์ต ฟรอสต์ จึงตั้งชื่อว่า The Road Not Taken ทำไมเขาจึงให้ค่ากับ “ทางที่ไม่ได้เลือก” ถึงเพียงนี้
…
ชื่อของมันน่าจะเป็น “ทางที่เลือก” มากกว่าไหม?
….
ในบทกวี The Road Not Taken ผู้เขียนไม่ได้ระบุว่าผลของการเลือกเดินบนเส้นทางรกๆ ที่ไม่ค่อยมีคนเดินนั้นเป็นเช่นไร นอกจากบอกแต่เพียงว่าชีวิตพลิกเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น
…
ฉันประมาณเอาว่า จุดหมายปลายทางของมันก็คงไม่ได้สุขสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ บางที“ฉัน”ในบทกวียังอยู่แค่กลางทาง กำลังเจอเรื่องยุ่งยากมากมาย
…
ช่วงเวลาที่ยากลำบากนี่เอง ถนนอีกสายที่เราไม่ได้เลือก คงลอยเข้ามาในห้วงความคิด อาจจะมีสักแวบที่คิดว่า“ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ ฉันเลือกอีกทางน่าจะดีกว่า”
…....
ในความยากลำบาก ในความเสียดาย“ทางที่ไม่เลือก”อาจตามมาหลอกหลอนได้เรื่อยๆ ....
The Road Not Taken กลายเป็นชื่อก็คงด้วยเหตุนี้
........
การดุ่มเดินเพียงลำพัง เสี่ยงลุยไปในเส้นทางรกร้างที่ไม่ค่อยมีใครเดิน นอกจากต้องกล้าเดิน,กล้ายอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าปลายทางจะเจอบวกหรือลบแล้ว
......
หากปลายทางนั้นเป็น“ลบ”
ยังอาจต้องอาศัยความกล้าเผชิญหน้า“ทางที่ไม่ได้เลือก”
ที่คอยตามมาหลอกหลอน
ให้เจ็บปวดเสียดายร่ำไปด้วย
..
...............
ตามเนื้อหาในบทกวี เมื่อ“ฉัน”ได้ตัดสินใจ“เลือก”เส้นทางที่มีหญ้าขึ้นรกร้าง เป็นทางที่ต้องถากถาง ไม่ค่อยมีร่องรอยคนเดิน
.........
มันดูลำบากกว่า
ดูเสี่ยงกว่าอีกทาง
แต่ “ฉัน” ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินบนเส้นทางนี้
… .........
เลือกทั้งที่ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางจะเป็นเช่นไร
….
นั่นแหละ การตัดสินใจ“เลือก”ที่“เท่โคตร”ในสายตาฉัน
…
เหมือนจะเคยรู้มาว่าโรเบิร์ต ฟรอสต์เองก็เคยต้องเผชิญหน้ากับ“การเลือก”ครั้งสำคัญในชีวิตจริงของเขาอยู่บ้างเช่นกัน เป็นต้นว่าการต้องเลือกระหว่างอาชีพพ่อค้านักธุรกิจกับการทำงานเขียน-ใช้ชีวิตแบบศิลปินเต็มตัว
...
เขาเลือกอย่างหลัง,
ถ้านี่เป็นเรื่องจริงนะ
เท่ค่ะ ...เท่!
…
แต่การเลือกอะไรอย่างนั้น คงมีคนข้างหลังเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะครอบครัว เรามองกลับไปตอนนี้ดูเท่ แต่ตอนนั้นคงดูไม่ได้เลยแหละ เราไม่รู้ว่ามีใครต้องลำบากกับความเท่ครั้งนี้ของเขาบ้าง
..
บางคนที่ฉันรู้จักก็เลือกอะไรเท่ๆ อย่างนี้เหมือนกัน แต่เวลาตัวเองหรือพ่อแม่เจ็บป่วย กลับเป็นคนที่ไม่สามารถดูแลตัวเองหรือบุพพากรีได้เลย ฉันก็ว่ามันเป็นความเท่ที่เจ็บปวดขมขื่นเสียเหลือเกิน …
...
หลายคนเท่น้อยกว่านี้ แต่เขาดูแลตัวเองได้ดี ดูแลพ่อแม่ ดูแลคนอื่นได้ด้วย ตามหน้าที่ของมนุษย์ที่มีความรับผิดชอบชั่วดีผู้หนึ่ง---คนเหล่านี้ก็ดูดีในสายตาฉันเช่นกัน
...
บางคนยอมละทิ้งความฝันส่วนตัว เพื่อทำสิ่งมีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่ยิ่งใหญ่กว่า---ฉันยกมือไหว้คนเหล่านี้ได้เลย--โดยที่ไม่ต้องเจอหน้า
...
คนเราเท่กันได้หลายแบบนะ
....
อย่างไรก็ตามเถิด การตัดสินใจเลือกของโรเบิร์ต ฟรอสต์นี่เอง จึงทำให้มีบทกวีงดงามประดับโลก และประดับจิตใจเราอยู่จนทุกวันนี้
...........
…
สำหรับฉันในวันนี้ สิ่งที่ต้องเลือก คล้ายจะสวนทางกับการเลือกคุณปู่ฟรอสต์เล็กน้อย นั่นคือช่วงเวลานี้ ฉันอาจจะต้องผละจากเวลาทำงานเขียนหลายส่วน เพื่อไปจัดการ“ธุรกิจ”ให้มันดำเนินไปด้วยดี
..
ปีนี้"ฟรีฟอร์ม"ที่พวกเราร่วมกันก่อร่างสร้างหลักขึ้นมาเมื่อสองปีก่อน พอทรงตัวอยู่ได้บ้างแล้ว
..........
อาการทรงตัว--ลองพิจารณาจากตัวเลขตลกๆของพวกนะ--ปีแรก'49 เรารวบรวมเงินหุ้นส่วนมาลงทุนจดทะเบียนบริษัทได้หนึ่งล้านบาท ปิดบัญชีสิ้นปีมีรายได้สองล้านบาท ติดลบเกือบแสนบาท มีหนี้เครดิตการค้ายกยอดมาปีถัดไปแสนกว่าบาท
....
ฟรีฟอร์มอาจเป็นความอยากที่จับต้องได้
เป็น "ความฝัน" ที่ลูบคลำได้แล้วก็จริง
แต่"หนี้"ก็ของจริงเหมือนกัน [นะโว้ย!]
..........
ค่อยยังชั่วเมื่อเข้าสู่ปีที่สอง ปี'50 ปิดงบบัญชีประจำปี พบว่ามีกำไรคร่าวๆ [ยังไม่เป็นทางการ]ราวสามล้านบาท มีหนี้เครดิตการค้ายกยอดมาปีนี้ประมาณเกือบล้านบาท ก็ไม่เยอะหรอก [เมื่อปีที่แล้ว ฟรีฟอร์มเรารับจ้างทำหนังสือเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมให้กับกรีนพีซ แค่ค่าพิมพ์อย่างเดียวก็ปาเข้าไปห้าแสนบาทแล้วนะคะ]
...
ในแง่ธุรกิจสิ่งพิมพ์ ตัวเลขก็ไม่น่าตกใจเท่าไหร่
แต่ก็พลาดไม่ได้!
....
ด้านผลงานสิ่งพิมพ์ของเราที่เผยแพร่ออกไป คนทำก็ปลื้มใจหลายชิ้น ด้านตัวเลขก็ไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก ในปี2551นี้--ฟรีฟอร์มเราจึงเตรียมลุยงานสำนักพิมพ์กันอย่างเต็มที่ จึงมีแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนอีกส่วนหนึ่ง โดยเปิดขายหุ้นกับพี่ๆ เพื่อนๆ รวมถึงเพื่อนๆ ของพี่ๆ และเพื่อนๆ ของเพื่อนๆ ด้วย :).........
ใ....................
....
จากตัวเลข จากอะไรทั้งหลาย เราเริ่มอุ่นใจว่าฟรีฟอร์มพอจะตั้งหลักได้บ้างแล้ว แต่คงต้องทำอีกหลายอย่างเพื่อให้มันแข็งแรงและดูดี
...
จากตัวเลขบัญชี จากรายการลูกหนี้เจ้าหนี้ของเราแล้ว แม้จะมั่นใจว่าเรามีปัญญาใช้หนี้หมดแน่ๆ แต่ภาวะเศรษฐกิจบ้านเราปีนี้ก็ไม่น่าไว้วางใจเสียเลย นักเศรษฐศาสตร์และหมอดูพูดคล้ายๆกันว่ามันจะแย่ [แต่ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ คนอ่านหนังสือเยอะขึ้นนะคะ ควรดีใจไหมเนี่ย!]
...
ส่วนตัวฉันเองคิดว่า บ้านเราก็น่าจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย ตัวเล็กตัวน้อยอย่างเรา ระวังตัวไว้บ้างคงไม่เสียหาย
........
เมื่อปลายปีที่แล้วมีลูกค้ารายหนึ่งของบริษัทเราสร้างความยุ่งยาก ทำให้เราต้องใช้บริการบริษัทที่ปรึกษาทางกฏหมายเป็นครั้งแรก ก็ทำเอาเซ็งเป็ดไปยกหนึ่ง ตอนนี้ก็ปล่อยทนายของเราจัดการไป
......
แม้จะไม่ได้กระทบกับธุรกิจของเรานัก แต่ก็เป็นสัญญาณเล็กๆ มาแล้วว่า "ฟรีฟอร์ม"ไม่ใช่แค่ผลพวงความอยากของพวก"ฝันมาก"สี่ซ้าห้าหกคนเท่านั้น
......
แต่มันถึงเวลาที่ต้อง "เหยียบเต็มตีน"กันแล้วนะพี่น้องเอ๋ย!
.......
ใ
..........................
...
ตามนโยบาย"เหยียบเต็มตีน"ของบริษัทฯ
แผนแรกที่พวกเรานำมาใช้ในการทำงาน
คือการเกณฑ์บรรดาพวกหุ้นส่วนเจ้าของบริษัททั้งหมด
เข้าทำงานให้ทันเก้าโมงเช้าทุกวัน!
....
ฟรีฟอร์มเพิ่งประกาศรับสมัครพนักงานใหม่สองสามคน โดยพนักงานใหม่เหล่านี้ มีกฏว่าต้องเข้างานให้ทันเก้าโมงเช้า ด้วยเหตุนี้ตัวหลักของบริษัททั้งหลายจึงต้องมาให้ทันพนักงานใหม่ด้วย ไม่งั้นมันก็น่าเกลียดมั่กๆ
...…
แต่การที่ต้องเกณฑ์คนเคยทำงานหามรุ่งหามค่ำเข้านอนตอนตีสี่ตีห้าเป็นประจำมานานถึงสองปีเต็มๆ ให้ตื่นขึ้นมาทำงานเก้าโมงเช้ากันเนี่ย ---มันง่ายเสียที่ไหน
....
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปได้ว่าปีนี้ “นวนิยาย” ที่ฉันตั้งใจเขียนมาหลายปี คงยังไม่มีโอกาสเสร็จเป็นรูปเล่มอย่างที่หวังอีกแล้ว
.............
นี่ก็ทำใจไว้แล้ว!
...................
..........................
......................
..
...........................
..................
ด้วยเรื่องราวชีวิตและการทำงานเป็นเช่นนี้เอง วันนี้ ...ฉันอ่านบทกวี The Road Not Taken อีกครั้งแล้วจึงรู้สึกตลกดี
...........
ลองนึกดูสิ เมื่อศตวรรษก่อน ถ้าการที่ปู่ฟรอสต์ละที้งธุรกิจเพื่อมาเขียนหนังสือ ท่านก็ว่าเป็นการเลือกเดินบนทางขรุขระหญ้ารกมากแล้วใช่ไหม?
............
ศตวรรษนี้ การที่ใครคนหนึ่งตัดสินใจ“ละ”งานเขียนหนังสือ[ชั่วคราว]เพื่อมาลุยธุรกิจอย่างจริงจังสักปีสองปี การตัดสินเลือกอะไรอย่างนี้ อาจเป็นการเดินทางบนถนนขรุขระ ต้องถากถางวัชพืชจนเหงื่อตกเหมือนกัน
..........
สงสัยเหนื่อยไม่แพ้กันหรอกนะปู่นะ!
....
.....
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ.2549-2551©'ปราย พันแสง
2006-2008 Copyright©'prypansang
All Rights Reserved.
................................
................................
...คนอ่าน